19.
ทำไมต้อง...หาว...?
"หาว" เป็นกิริยาอาการที่
ต้องอ้าปากให้กว้างเพื่อสูดลมเข้าไปลึกๆ ทางปากแล้วจึงระบายลมออก ส่วนใหญ่จะหาวเวลาง่วงนอน
แต่อาการเช่นนี้เวลาเหนื่อยก็หาวได้เหมือนกัน
การหาว เป็นการหายใจลึกๆ วิธีหนึ่งเพื่อที่จะเอาแก๊สออกซิเจนเข้าไปในร่างกายให้มากๆ
ถ้าร่างกายได้รับออกซิเจนน้อยกว่าที่ต้องการขณะนั้นจะเกิดอาการหาวขึ้นเองเพื่อปรับตัว
เคยสังเกตบ้างไหมว่า กิริยาอาการบางอย่างระหว่างคนเราสามารถเกิดขึ้นได้ใกล้เคียงกันเหมือนโรคติดต่อ
เช่น คนหนึ่งหัวเราะขึ้นมา คนอื่นก็อยากหัวเราะบ้าง หรือบางคนเห็นเพื่อนที่อยู่ใกล้กันมีความตกใจกลัว
ก็ชักนึกกลัวกับเขาด้วย อาการหาวก็ทำนองเดียวกัน คนหนึ่งอ้าปากหาว
ทำให้คนอื่นนึกอยากหาวตาม แต่โดยทั่วไป คนเราจะหาวตามคนอื่นได้ง่ายเมื่อตัวเองรู้สึกง่วงนอนหรือรู้สึกเหนื่อย 18.
สะอึก...อึ๊กๆ...? อาการสะอึก
เกิดจากการทำงานไม่ปรกติของกะบังลมซึ่งเป็นแผ่นกล้ามเนื้อและเนื้อพังผืดกั้นระหว่างช่องท้องกับช่อง-อก
อาศัยการทำงานโดยยืดและหดเพื่อช่วยในการหายใจ ปรกติอาการยืดหดนี้มีจังหวะที่สม่ำเสมอ
สาเหตุของการสะอึก
อาจเกิดได้จาก มีอะไรไปรบกวนเส้นประสาทที่ควบคุมการทำงานของกะบังลม
ลมในกระเพาะอาหารขยายตัวไปดันกะบังลม กลืนอาหารหรือน้ำจำนวนมากจนไหลลงกระเพาะไม่ทัน
ทำให้หลอดอาหารตอนปลายขยายตัวไปกระตุ้นปลายประสาทที่มาเลี้ยงกะบังลม หรืออวัยวะใกล้กะบังลมเป็นโรคบางอย่าง
เช่น เยื่อหุ้มปอดอักเสบ มูลเหตุเหล่านี้ทำให้กะบังลมหดตัวอย่างรุนแรงทันทีทันใด
การบีบรัดตัวของกะบังลมทำให้แผ่นเหนือกล่องเสียงที่คอหอยซึ่งปรกติคอยกั้นไม่ให้อาหารเข้าไปในหลอดลมปิดลง
เมื่อกะบังลมหดอย่างแรงก็จะดึงอากาศเข้าสู่ปอดผ่านคอหอยอากาศจึงกระทบกับแผ่นปิด แล้วทำให้สายเสียง
(เส้นเอ็น 2 เส้น) สั่นสะเทือน จึงเกิดเสียงอึ๊กๆ อย่างที่ได้ยินเวลาสะอึก ซึ่งอาการสะอึกอาจเกิดขึ้นได้นาทีละหลายครั้ง
และสะอึกต่อเนื่องกันได้หลายชั่งโมง จนคนสะอึกเหนื่อย วิธีแก้ไขให้หายสะอึก
(ถ้าไม่ใช่สะอึกเพราะโรค) มีหลายวิธี เช่น หายใจลึกๆ กลั้นหายใจ
หายใจในถุงกระดาษสัก 3-5 นาที ดื่มน้ำแก้วโตพร้อมกับหายใจ หาสิ่งใดแยงจมูกให้จาม
ถ้าเป็นเด็กอ่อนควรอุ้มพาดบ่าใช้มือลูบหลังเบาๆ ให้เรอ 17.
รุ้งกินน้ำมีรูปทรงอย่างไร...? รุ้งกินน้ำมีรูปร่างเป็นวงกลมค่ะ
เพราะเมื่อเวลาที่แสงแดดกระทบละอองน้ำที่อยู่เหนือตัวเราจะเกิดการหักเหออกมาเป็นแสง
7 สี ขณะเรายืนอยู่ที่พื้นแสงที่หักเหเข้าสู่ตาเราจะมีลักษณะเป็นรูปกรวย โดยดวงตาของเราเป็นจุดยอดของกรวยและตัวรุ้งกินน้ำเป็นเส้นรอบวงของฐานกรวย
เมื่อวัดแสงที่อยู่นอกสุดของฐานกรวยคือสีแดง ทิศทางของแสงที่หักเหเข้าสู่ตาจะทำมุม
42 องศา กับแสงอาทิตย์ที่ตกกระทบกับละอองน้ำ ส่วนแสงสีอื่นๆ จะอยู่ถัดจากสีแดงเข้าไปภายใน
มุมก็น้อยลงตามลำดับ และถ้าเราอยากเห็นรุ้งกินน้ำเป็นวงกลมก็ต้องขึ้นไปบนอากาศ
เช่น ในเครื่องบิน เพราะบนอากาศละอองน้ำทั้งที่อยู่เหนือและใต้ตัวเราจะช่วยกันหักเหแสงให้เห็นเป็นวงกลมได้ 16.
การหายใจกับการลอยตัวในน้ำ...? คราวนี้เราลองมาหาความรู้ในเชิงการทดลองกันดูบ้างนะคะ
การหายใจลึกๆ นั้นจะช่วยให้เราลอยตัวในน้ำได้อย่างไร ถ้าเราลอยตัวเป็นลองพยายามทดลองในสระว่ายน้ำ
แต่ถ้าไม่เป็นก็ลองในอ่างอาบน้ำ หัดลอยตัวโดยหงายหน้าขึ้น ส่วนแขนให้แนบลำตัวและจมลงไปเล็กน้อย
พยายามให้ด้านหลังของศรีษะจมอยู่ในน้ำแล้วหายใจเข้าลึกๆ เราจะลอยตัวได้สูงกว่าปกติเล็กน้อย
เพราะปอดของเราจะขยายตัวและทำให้ร่างกายของเราขยายใหญ่ขึ้น จึงไปแทนที่น้ำมากเช่นกัน
15.
ทำไม "นักสู้วัว" จึงใช้ผ้าสีแดงล่อวัว...?
การล่อวัวกระทิงด้วยผ้าสีแดงแบบสเปนได้มีผู้ทำการทดลองหลายครั้งหลายหนจนสรุปได้ว่า
วัวเป็นสัตว์ตาบอดสี ดังนั้นสีแดงจึงไม่ได้ทำให้วัวโกรธแค้นจนถึงกับต้องวิ่งเข้าขวิดเลย
วัวจะมีปฎิกิริยาต่อสิ่งแวดล้อมสีขาวและสีดำ และอาจเห็นสีเทาอ่อนแก่ได้เท่านั้น นอกจากวัวแล้วนักวิทยาศาสตร์ยังทดลองกับสัตว์อื่นอีก
ปรากฎว่า จำพวกลิงเท่านั้นที่เข้าใจเรื่องสีต่างๆ ถ้าเช่นนั้น
ทำไมนักสู้วัวในสเปนจึงใช้ผ้าสีแดงล่อวัว คำตอบคือ จากประสบการณ์ของนักสู้วัวที่ทำมาหลายปีพบว่า
ผ้าสีแดงทำให้ผู้ชมวัวรู้สึกตื่นเต้นดี เพราะฉะนั้นเขาจึงใช้สีแดงเท่านั้นเอง
14.
กำหนดเพศ "จระเข้แอลลิเกเตอร์" ด้วยอุณหภูมิ...?
นักชีววิทยาชาวอเมริกันค้นพบว่า จระเข้แอลลิเกเตอร์สามารถกำหนดเพศของลูกน้อยได้ด้วยอุณหภูมิเพียงอย่างเดียว
หากไข่ถูกเก็บไว้ในที่ๆ อุณหภูมิต่ำกว่า 86 *F ในระหว่างสัปดาห์ที่ 2 และ 3 ของการฟักไข่
ไข่เหล่านี้จะถูกฟักเป็นตัวเมียทั้งหมด และไข่ที่ถูกเก็บไว้ที่อุณหภูมิสูงกว่า 94*F
จะฟักออกมาเป็นตัวผู้หมด ส่วนไข่ที่เก็บไว้อุณหภูมิระหว่าง 86-94*F จะฟักเป็นทั้งตัวผู้และตัวเมีย
นักวิจัยเริ่มสังเกตุจากการเฝ้าดู เขาพบว่าจระเข้ที่วางไข่ในหนองบึงเฉอะแฉะเย็นชื้น
ไข่จะฟักเป็นตัวเมีย ส่วนไข่ที่วางบนฝังมีแสงอาทิตย์ส่องถึงจะออกมาเป็นตัวผู้
ปริศนาที่ว่าทำไมอุณหภูมิจึงกำหนดเพศได้ นักวิทยาศาตร์อธิบายว่า ขณะที่อุณหภูมิสูงนั้นตัวอ่อนจะใช้ไข่แดงหมดไปอย่างรวดเร็วจนเหลืออาหารน้อยไม่เพียงพอต่อการพัฒนาไข่เป็นเพศเมีย 13.
รถสีเข้มทำไมจึงร้อนกว่ารถสีอ่อน...? ถ้าเรานำรถสีเข้ม
(สมมติว่าสีดำ) กับสีอ่อน (สีขาว) จอดตากแดดไว้นานๆ พอกัน อุณหภูมิของรถ 2 คันจะต่างกัน
รถยนต์สีดำปรากฎเป็นสีดำในสายตาเราเพราะแทบจะไม่สะท้อนแสงที่มากระทบเลย แสงจากรถที่มาเข้าตาเราจึงน้อยมาก
ส่วนรถสีขาวจะสะท้อนแสงที่ตกกระทบเกือบทั้งหมด ดังนั้นจาเราจึงได้รับแสงจำนวนมากจากรถสีขาว
จากข้อเท็จจริงที่ว่า แสงแดดเป็นพลังงาน
รถสีขาวจะสะท้อนพลังงานแสงเกือบทั้งหมดที่ได้รับจากดวงอาทิตย์
ดังนั้นพลังงานแสงจึงไม่สะสมหรือเพิ่มอุณหภูมิของรถได้ ในทางตรงกันข้าม
รถสีดำจะสะท้อนพลังงานแสงอาทิตย์ออกไปน้อยมาก รถจะดูดกลืนพลังงานดังกล่าวสะสมไว้มากจึงทำให้อุณหภูสูงขึ้นกว่ารถสีขาว
12.
ลองทายซิคะ มดมีอายุยืนยาวเท่าไร...? อาณาจักรของมดประกอบ
มดนางพญา มดตัวผู้ มดงาน และมดทหาร ซึ่งมดตัวผู้จะมีอายุสั้นที่สุดมีหน้าที่ผสมพันธุ์กับมดนางพญาเพียงครั้งเดียวแล้วก็ตาย
มดงานและมดทหารมีอายุยืนกว่า ส่วนมดนางพญามีอายุยืนที่สุด มดงานมีอายุราวๆ
6-7 ปี มดนางพญายังสามารถออกลูกได้แม้อายุ 10 ปี ซึ่งการมีอายุที่ยืนยาวจะเป็นผลดีต่ออาณาจักร
เมื่อมดนางพญาตาย อาณาจักรก็จะสูญสลายพวกมดจะพากันเก็บซากมดนางพญาที่ตายแล้วไว้ และอาจักรจะแตกสลายเพราะไม่มีมดงานและมดทหารมาแทนตัวที่ล้มตายลง
11.
ประโยชน์ของฟ้าแลบ ? สถานีอุตุนิยมวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกาประมาณไว้ว่า
ในระยะเวลา 1 ปี ฟ้าแลบทำให้ไนโตรเจนตกลงมายังพื้นดิน 2 กิโลกรัมต่อพื้นที่ 1 ไร่
เมื่อคิดทั้งโลกจะมีไนโตรเจนตกลงมายังโลกถึง 770 ล้านตันต่อปี
ในระหว่างที่เกิดฟ้าแลบ พลังงานบางส่วนจากฟ้าแลบจะทำให้ไนโตรเจนทำปฏิกิริยาเคมีกับออกซิเจนเกิดเป็นสารประกอบไนโตรเจนมอนอกไซด์
(NO) สารประกอบนี้มีไนโตรเจน 1 อะตอม มันจะดูดออกซิเจนอีก 1 อะตอมเพิ่มเข้าไป
และกลายเป็นไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO2) ซึ่งละลายได้ในน้ำฝนกลายเป็นกรดดินประสิว
(HNO3) ตกลงมายังพื้นโลก เมื่อกรดดินประสิวรวมตัวกับสารเคมีอื่นๆ จะได้เป็นเกลือไนเตรดซึ่งเป็นอาหารที่ดีของพืช 10.
อินซูลินแก้โรคเบาหวานได้อย่างไร ? ปกติอาหารที่รับประทานจะประกอบด้วย
โปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน เกลือแร่ และวิตามิน คาร์โบไฮเดรตเป็นอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาล
ซึ่งเป็นอาหารที่ให้พลังงานแก่มนุษย์ คาร์โบไฮเดรตที่เราทานจะถูกย่อยเป็นโมเลกุลเล็กๆ
ซึมผ่านผนังลำไส้เข้าสู่กระแสเลือด ในร่างกายของคนปกติปริมาณน้ำตาลในกระแสเลือดจะต้องอยู่ในระดับที่พอเหมาะ
ส่วนน้ำตาลที่เหลือจะถูกเปลี่ยนให้เป็นพลังงานโดย ฮอร์โมนอินซูลิน ซึ่งสร้างจากตับอ่อน
สำหรับคนที่เป็นโรคเบาหวานเกิดจากตับอ่อนไม่สามารถสร้างอินซูลินขึ้นมา
ร่างกายจึงไม่มีฮอร์โมนที่จะเปลี่ยนน้ำตาลในกระแสเลือดให้เป็นพลังงาน ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานจึงมีปริมาณน้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติ
และจะมีอาการอ่อนเพลียเนื่องจากร่างกายขาดพลังงานไปหล่อเลี้ยง รู้สึกกระหายน้ำตลอดเวลาเพราะในกระแสเลือดมีความเข้มข้นสูง
นอกจากนั้นผู้ป่วยจะปัสสาวะบ่อย ร่างกายจะขับน้ำตาลส่วนเกินออกมาทางปัสสาวะทำให้ปัสสาวะมีรสหวาน
ด้วยเหตุนี้จึงเรียกว่า "เบาหวาน" ในปีพ.ศ.
2465 เซอร์เฟรเดอริก แบนติง และดร.ชาร์ลส์ เบสต์ เตรียมอินซูลินที่ได้จากตับอ่อนของวัวและแกะ
นำมาใช้รักษาผู้ป่วยโรคเบาหวาน ซึ่งช่วยให้ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานบางคนมีอายุยาวกว่าอายุเฉลี่ยของคนปกติตามหลักสถิติเสียอีก
9.
เสียงเพลงสามารถทำให้แก้วแตกได้ ? การร้องเพลงด้วยเสียงสูงเป็นเวลานานๆ
ก็สามารถทำให้แก้วแตกได้นั้นเป็นเรื่องจริง นั้นคือ ปรากฎการณ์ธรรมชาติที่เรียกว่า
เกิดการ "กำทอน (Resonance)" ของเสียง คือ
เกิดการแทรกสอดของคลื่นเสียงแบบเสริมกัน อืม...หากอธิบายให้เข้าใจง่ายขึ้น ลองนึกถึงเวลาไกวชิงช้าดูนะค่ะ
ถ้าเราไกว้ชิงช้าได้จังหวะเหมาะๆ
พอดี ชิงช้าจะไกวได้สูงขึ้น แต่ถ้าไกวชิงช้าผิดจังหวะจะทำให้ชิงช้าไกวเบาลง เนื่องจากแรงที่ผิดจังหวะไปหักล้างกับการเคลื่อนไหวของชิงช้าเสียหมดนั้นเองค่ะ
ในแก้วก็เช่นเดียวกัน แก้วแต่ละใบจะมีการสั่นสะเทือนด้วยความถี่เฉพาะตัว ลองใช้ดินสอเคาะแก้วใบใดจะได้เสียงเหมือนเดิมทุกครั้ง
ฉะนั้นคลื่นเสียงจากนักร้อง
จึงทำให้แก้วสั่นสะเทือนได้เช่นกัน ถ้าความถี่ของเสียงไม่พอดีก็จะหักล้างกับการสั่นสะเทือนของแก้ว
แต่ถ้านักร้องสามารถปรับความถี่ของเสียงได้พอเหมาะกับการสั่นสะเทือนของแก้วจะทำให้แก้วสั่นแรงขึ้น
8.
ทำไมจึงปวดฟัน (เนื่องจากฟันผุ) ? ทราบไหมคะ...ทำไมบ้างทีเวลารับประทานของหวานจึงรู้สึกปวดฟัน
ก่อนที่จะอธิบายสาเหตุของการปวดฟัน เราลองมาทำการทดลองนี้ก่อนดีไหมค่ะ โดยนำหัวผักกาดมาหัวหนึ่ง
เจาะตรงกลางให้เป็นโพรงจากนั้นเทน้ำตาลข้นๆ ลงไปในโพรงแล้วปิดด้วยจุกคอร์กที่มีหลอดแก้วกลวงเสียบอยู่
นำหัวผักกาดนี้แช่ลงในอ่างน้ำ สักครู่จะเห็นน้ำในอ่างซึมผ่านเนื้อหัวผักกาดเข้าไปในโพรงที่มีน้ำตาลอยู่
ปรากฎการณ์ที่มีน้ำซึมผ่านเนื้อเยื่อไปยังน้ำตาลที่มีความเข้มข้นสูงกว่านี้ เรียกว่า
ออสโมซิส (Osmosis) น้ำจะซึมไปเรื่อยๆ จนระดับความกดดันที่ผิวทั้ง
2 ข้างเท่ากัน ระดับน้ำในหลอดแก้วกลวงจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามแรงดันออสโมซิส จากการทดลองสามารถอธิบายเรื่องการปวดฟันได้
สมมุติว่าโพรงผักกาดนั้นเป็นฟันผุ เมื่อเรารับประทานของหวานน้ำตาลจะไปขังอยู่ในรูของฟัน
ทำให้เกิดการออสโมซิสของน้ำจากประสาทฟันเข้าสู่โพรงฟัน และทำให้เกิดแรงกดดันออสโมซิสขึ้นที่ฟันซี่นั้น
ความกดดันนี้เองทำให้เราปวดฟัน วิธีแก้ปวด คือ การอุดฟันหรือถอนฟันซี่นั้น..นั่นเอง 7.
เหตุใดจึงสร้างช่องน้ำแข็งไว้ส่วนบนของตู้เย็น ? คำตอบง่ายนิดเดียวค่ะ
ก็เพราะต้องการให้การหมุนเวียนของอากาศภายในตู้เย็นสม่ำเสมอ เนื่องจากเราทราบว่าอากาศเย็นหนักกว่าอากาศอุ่น
ดังนั้น เมื่ออากาศที่วนเวียนผ่านช่องน้ำแข็งเย็นลงก็จะวนมาที่ส่วนล่าง อากาศข้างล่างอุ่นกว่าจะลอยขึ้นข้างบนไปกระทบความเย็นที่ช่องน้ำแข็งก็เย็นลงและวนลงสู่ส่วนล่างอีก
อากาศจึงไหลเวียนสม่ำเสมออย่างนี้เรื่อยไป ทำให้อุณหภูมิภายในตู้เย็นคงที่ ถ้านำช่องน้ำแข็งไว้ส่วนล่าง
อากาศเย็นก็จะอยู่ส่วนล่าง ทำให้ไม่มีการไหลเวียนของอากาศ ผลจากความแตกต่างของอุณหภูมิในตู้เย็นจะทำให้อาหารเน่าเสียได้ง่าย
ดังนั้นจึงจำเป็นต้องสร้างช่องน้ำแข็งไว้ส่วนบนของตู้เย็น 6.
น้ำนมช่วยให้นอนหลับได้ ? ถ้าหากคุณนอนไม่หลับ
มีผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าให้ดื่มนมอุ่นๆ สักแก้วก่อนนอน จะช่วยให้นอนหลับได้ดี ส่วนสาเหตุที่นมอุ่นๆ
ทำให้เราง่วงนอนก็เพราะในน้ำนมมีกรดอะมิโน ที่ชื่อ แอล-ทริปโทฟาน
(L-tryptophan) ร่างกายจะสร้าง ซีโรโทนิน (Serotonin) ซึ่งเป็นสารเคมีที่สำคัญในสมองจากแอล-ทริปโทฟานนี้
สมองจะหลั่ง ซีโรโทนินออกมาควบคุมให้ง่วงนอน ระบบเหล่านี้ควบคุมด้วยระบบประสาทส่วนกลาง
ส่วนที่ถัดจากระบบ ประสาทส่วนกลางลงมาเป็นส่วนที่ควบคุมให้ตื่นเป็นปกติ การที่นอนไม่หลับนั้นเนื่องจากสมองส่วนที่หลั่ง
ซีโรโทนินถูกทำลายเสื่อมสภาพไป อุณหภูมิสูงเล็กน้อยของน้ำนม จะทำให้ประสิทธิภาพของการสร้าง
ซีโรโทนินดีขึ้น...ถ้าคืนนี้นอนไม่หลับอย่าลืมหานมอุ่นๆ มาดื่มสักแก้วนะค่ะ.... 5.
ทำไมท้องฟ้าเป็นสีฟ้า ?
แท้ที่จริงแล้วท้องฟ้าไม่มีสี
แสงสีฟ้าที่มองเห็นเกิดจากสีฟ้าที่มีอยู่ในแสงอาทิตย์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ปรากฎ
ให้เราเห็นเป็นสีรุ้งนั่นเอง เมื่อแสงอาทิตย์ฉายผ่านฝุ่นผงและอนุภาคเล็กๆ ที่มีอยู่ในบรรยากาศ
แสงจะถูกอนุภาค เล็กๆ เหล่านี้กระเจิงออกไป แสงสีฟ้าซึ่งเป็นแสงที่มีความยาวคลื่นสั้นกว่าแสงสีเหลืองและสีแดง
จะกระเจิงออก ไปได้มากกว่าจึงทำให้มองเห็นท้องฟ้าเป็นสีฟ้า
4.
เคล็ดลับการทายอายุปลา ? เราสามารถบอกอายุปลาได้ง่ายๆ
โดยมีเคล็ดลับดังนี้ ปลานั้นมีเกล็ดปกคลุมภายนอกลำตัวเหมือนกระเบื้อง มุงหลังคา เกล็ดเหล่านี้วางเกยและเรียงซ้อนกันเป็นแนวตลอดลำตัว
เกล็ดปลานี้จะเจริญตามฤดู คือ รอยบน เกล็ดปลาจะแสดงถึงระยะเวลาที่ปลาเจริญช้าและเร็วสลับกันตามสภาพแวดล้อมและอาหารในน้ำ
การเปลี่ยนแปลง ของสภาพแวดล้อมแบบนี้เองทำให้เกิดลวดลายบนเกล็ดปลาตามระยะปีของอายุปลา
เราจึงสามารถกะอายุของ ปลาได้โดยใช้แว่นขยายส่องดูและนับวงของลวดลายบนเกล็ด แต่อย่าลองใช้วิธีแบบนี้กับปลาเงิน
ปลาทองที่บ้าน เด็ดขาด เพราะปลาเป็นๆ จะมีสารชนิดหนึ่งห่อหุ้มเกล็ดปลา ถ้าสารนี้หลุดออกมาโดยใช้มือจับอย่างไม่ถูกวิธี
ปลาจะตายทันที 3.
แสงสว่างในหิ่งห้อย ? คุณเคยสงสัยไหมว่าหิ่งห้อยตัวเล็กๆ
นั้นเปล่งแสงออกมาได้อย่างไร แสงจากตัวหิ่งห้อยมีคุณสมบัติเช่นเดียวกับแสงธรรมดา
คือ สามารถวัดได้ หักเหและสะท้อนได้ แต่ไม่มีความร้อนเกิดขึ้น เราเรียกแสงแบบนี้ว่า
แสงนวล (Luminescence) แสงในตัวหิ่งห้อยเกิดจากสาร ลูซิเฟอริน
(Luciferin) ซึ่งทำปฎิกิริยารวมกับออกซิเจนให้แสงสว่างออกมา แต่ปฎิกิริยานี้จะเกิดขึ้นต่อเมื่อมีสาร
ลูซิเฟอริน ทำหน้าที่เป็นตัวเร่งปฎิกิริยา แสงสว่างที่เกิดจากหิ่งห้อยนั้นมีน้อยมาก
คือ ประมาณ 1/1,000 ของแสงจากเทียนไขเท่านั้นเอง 2.
มนุษย์...พูดได้อย่างไร ? คนสามารถออกเสียงได้เพราะมีเอ็นในลำคอที่ทำให้เกิดเสียงอยู่
2 เส้น เรียกว่า "สายเสียง" เอ็นดังกล่าวอยู่ระหว่างทางเข้าออกของลมหายใจ
เมื่อต้องการออกเสียง เอ็นทั้ง 2 จะตึงและเคลื่อนที่ชิดเข้าหากันเพื่อบังคับให้อากาศผ่านช่องระหว่างเอ็น
เมื่ออากาศเคลื่อนที่ผ่านช่องจึงทำให้เกิดเสียง หากช่องนี้เล็กมากเสียงจะแหลมมาก
ดังนั้นการดัดเสียงแหลม ทุ้ม คือ บังคับเอ็นทั้ง 2 ให้ตึงชิดหรือห่างมากน้อยนั่นเอง
เสียงเปลี่ยนเป็นคำพูดได้โดยอาศัยลิ้น
การวางตำแหน่งและการเคลื่อนที่ของลิ้น ทำให้เกิดเสียงลักษณะต่างๆ กันลองออกเสียงสระหรือพยัญชนะดู
แล้วสังเกตว่าลิ้นเคลื่อนที่ต่างกันหรือไม่ แต่มีพยัญชนะบางตัวที่เราสามารถทำเสียงได้โดยไม่ต้องใช้เอ็น
เช่น ตัว ฟ และ ส
เกิดจากการที่เราปล่อยอากาศออกจากปาก โดยใช้ส่วนประกอบของปากเข้าช่วยเท่านั้น ส่วนคำพูด
คือ การนำเสียงต่างๆ มารวมเป็นคำๆ ตามใจชอบ แต่ต้องเป็นสื่อให้คนอื่นเข้าใจความหมายได้
1.
เทฟลอน คืออะไร ? ปัจจุบัน
คุณแม่บ้านสามารถหุงข้าวโดยไม่ติดก้นหม้อ ทอดไข่โดยไม่ติดกะทะ ทำให้สะดวกต่อการทำความสะอาด
เพราะภาชนะเหล่านี้ได้รับการเคลือบด้วย เทฟลอน โมเลกุลของเทฟลอนใหญ่โตมากประกอบไปด้วยโมเลกุลเล็กๆ
ของเตตราฟลูออโรเอทิลีนหลายหมื่นตัวมาเรียงเป็นลูกโซ
่โมเลกุลเล็กๆ นี้ประกอบไปด้วย ธาตุคาร์บอน 2 อะตอม กับ ฟลูออรีน 4 อะตอม การที่เทฟลอนมีคุณสมบัติทำให้อาหารไม่ติดกะทะได้
เพราะธรรมชาติของฟลูออลีนจะยึดเกาะกับอะตอมของคาร์บอนแน่นมาก แล้วยังผลักสารอื่นๆ
ออกไปให้ห่าง ส่วนอะตอมของคาร์บอนก็จะเกาะกันเองจนไม่สามารถที่จะไปรวมกับอะตอมของสารอื่นๆ
ได้อีกแล้ว เทฟลอนสามารถทนอุณหภูมิได้สูงถึง
326 องศาเซลเซียส การนำเทฟลอนมาใช้ประโยชน์ในการเคลือบภาชนะหุงต้ม ต้องดัดแปลงคุณสมบัติของโมเลกุลให้มีปลายเหนียวเพียงด้านเดียวเพื่อให้ยึดติดกับโมเลกุลของวัสดุต่างๆ
ที่มันเคลือบอยู่ ส่วนอีกด้านหนึ่งก็จะลื่น น้ำและน้ำมันไม่สามารถเกาะติดได้ จึงใช้เทฟลอนเคลือบเสื้อผ้าและภาชนะต่างๆ
และยังทดลองใช้แทนน้ำแข็งในลานสเกตน้ำแข็งอีกด้วย TOP
|