ปริญญานิพนธ์นี้เป็นของนักศึกษาระดับปริญญาตรีที่ ดร.สมพร อรรถเศรณีวงศ์ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา

หัวข้อที่ได้นำเสนอลงในเว็บไซต์ คือ บางส่วน (เป็นรูปเล่ม) ที่มีเหลืออยู่ที่ชมรมฯ <ส่วนใหญ่มายืมไปแล้วไม่ค่อยคืน...ฮา>

นศ. ป.ตรี ที่เคยทำวิทยานิพนธ์กับ อ.สมพร แล้วไม่มีหัวข้อของตนเองในนี้ แต่เก็บเล่มดำไว้ แล้วอยากนำมาเสนอให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น ก็สามารถติดต่อมาที่ ชมรมฯ ได้

...เชิญเลือก ปี พ.ศ. ที่นี่จ้า...< 2539 > < 2540 >< 2541 >< 2542 >
พ.ศ. 2539
1 - การวิเคราะห์โครงสร้างส่วนบนช่วงความยาวมาตรฐาน 30 เมตร โครงการดอนเมืองโทลล์เวย์1 - ANALYSIS OF A TYPICAL SPAN 30 METER SUPERSTRUCTURE OF DON MUANG TOLLWAY PROJECT
2 - A CASE STUDY OF EFFECTS OF THE USE OF DIAPHRAGMS IN THE TYPICAL SPAN 30 M. SUPERSTRUCTURE FOR DON MUANG TOLLWAY PROJECT
3 - A COMPARISON STUDY OF RC BUILDING DESIGN USING EIT AND ACI METHODS
4 - ANALYSIS OF STANDARD Y-SHAPED PIER FOR DON MUANG TOLLWAY PROJECT
5 - ANALYSIS OF AN INVERTED U-FRAME TYPE 2.0 FOR DON MUANG TOLLWAY PROJECT
6 - ANALYSIS OF AN INVERTED U-FRAME TYPE 2.0 FOR DON MUANG TOLLWAY PROJECT
7 - DEVELOPMENT OF A GRAPHIC INPUT MODULE FOR 2D FRAME AND TRUSS STRUCTURAL SYSTEMS
พ.ศ. 2540
1 - SAFETY CHECK OF A 40 METER SPAN SUPERSTRUCTURE OF DON MUANG TOLLWAY PROJECT DUE TO THAI TRUCK LOADS
2 - A PRELIMINARY DESIGN OF THE 7th FLOOR WALKWAY BETWEEN THE EXISTING BULIDINGS D AND F OF MAHANAKORN UNIVERSITY OF TECHNOLOGY
3 - กรณีศึกษาเปรียบเทียบการออกแบบอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กโดยใช้มาตรฐาน ว.ส.ท. กับ ACI3 - A COMPARISON STUDY OF RC BUILDING DRSIGN USING EIT AND ACI METHODS
4 - การพัฒนาระบบป้องกันข้อมูลแบบกราฟฟิคสำหรับโครงสร้าง FRAME และ TRUSS 2 มิติ โดยใช้ภาษา DELPHI 3.04 - DEVELOPMENT OF A GRAPHIC INPUT MODULE FOR 2D FRAME AND TRUSS STRUCTURAL SYSTEMS USING DELPHI 3.0
5 - การวิเคราะห์โครงสร้างส่วนบนช่วงความยาว 30 เมตร โครงการดอนเมืองโทลล์เวย์ เนื่องจากน้ำหนักบรรทุกจรโดยใช้ระบบ Grid-Plate5 - ANALYSIS OF A 30 METER SPAN SUPERSTRUCTURE OF DON MUANG TOLLWAY PROJECT DUE TO TRUCK LOADS USING GRID-PLATE STRUCTURAL SYSTEM
พ.ศ. 2541
1 - PRELIMINARY DESIGN AND INSTALLATION OF LONG SPAN ROOF TRUSSES OF MUANG THONG SPORT COMPLEX PROJECT
2 - A COMPARISON STUDY OF MAIN REINFORCEMENTS IN THE COLUMNS OF A 30-STORY CONCRETE BUILDING BETWEEN EIT AND ACI METHODS
3 - SUITABILITY OF USING MOMENT MULTIPLIER FACTORS OF EIT IN DESIGNING BEAMS
4 - ANALYTICAL CHECK OF ACTION EFFECTS IN BRIDGE SUPERSTRUCTURE DUE TO OVER LOAD PROVISION OF THAI TRUCKS
5 - EXPERRIMENTAL STUDY ON MECHANICAL PROPERTIES OF ROOF SHEET OF THE HUA-MARK INDOOR STADIUM
6 - DEVELOPMENT OF A STRESS CONTOUR PROGRAM FOR OUTPUT RESULTS OF PLATE BY VISUAL BASIC 5.0
7 - การพัฒนาโปรแกรม MUT สำหรับการจัดการข้อมูลแบบเมตริกซ์7 - A DEVELOPMENT OF MATRIX UNIVERSAL TREATISE (MUT PROGRAM)
8 - A COMPARISON STUDY OF MAIN REINFORCEMENTS IN STRUCTURAL MEMBERS BETWEEN 2D AND 3D BUILDING ANALYSIS
พ.ศ. 2542
1 - SUITABILITY OF USING MOMENT MULTIPLIER FACTORS IN DESIGNING CONTINUEOUS BEAMS
2 - DEVELOPMENT OF MUT PROGRAM FOR MATRIX OPERATION
3 - DEVELOPMENT OF A CPM PROGRAM FOR CONSTRUCTION PLANNING
4 - A SURVER STUDY ON THE ROLE OF COUNCIL OF ENGINEERS ON CIVIL ENGINEERING EDUCATIONAL DEVELOPMENT
5 - ATTITUDES OF CIVIL ENGINEERS ON ACT LEGISLATION ENGINEERING

ปริญญานิพนธ์ ปีพ.ศ. 2539

ชื่อผู้ทำโครงการ (39/1)

1. นาย คเณศ บุสดี

2. นาย สุเมธ บุญมา

3. นาย พิทักษ์ วงศ์ไชยภาคย์

4. นาย พีรเดช ทิมพัฒนพงษ์


การวิเคราะห์โครงสร้างส่วนบนช่วงความยาวมาตรฐาน 30 เมตร โครงการดอนเมืองโทลล์เวย์

บทคัดย่อ

        รายงานฉบับนี้เป็นการศึกษาการวิเคราะห์โครงสร้างส่วนบนช่วงความยามมาตรฐาน 30 เมตร โดยเริ่มต้นได้กล่าวถึงความเป็นมาของโครงการดอนเมืองโทลล์เวย์อย่างคร่าวๆ จากนั้นได้ทำการศึกษาส่วนประกอบที่สำคัญที่ใช้ในการวิเคราะห์โครงสร้างส่วนบนของโครงการดอนเมืองโทลล์เวย์โดยเริ่มจากการศึกษามาตรฐาน AASHTO ที่ใช้ในการออกแบบ ซึ่งกล่าวถึงน้ำหนักต่างๆ ที่กระทำกับโครงสร้าง และการจัดวางรถบรรทุกในแต่ละเลนเพื่อให้เกิดหน่วยแรงสูงสุด รวมถึงค่าแฟคเตอร์ที่มีผลในการปรับลดค่าหน่วยแรง เช่น Load Reduction Factor และ Impact Factor ที่เกิดกับโครงสร้าง จากนั้นได้ทำการกระจายน้ำหนักที่เกิดจากรถบรรทุกเข้าสู่ โครงสร้างจำลองและทำการวิเคราะห์ด้วยโปรแกรม MICROFEAP II (โมดูล P2) เพื่อหาค่าหน่วยแรงสูงสุดของ Moment, Shear และ Torsion ที่เกิดขึ้นในคาน T-Girders โดยได้มีการจำลองโครงสร้างในรูปแบบของ Plane Grid System ค่าหน่วยแรงสูงสุดที่ได้จากการศึกษานี้ได้ทำการเปรียบเทียบผลกับค่าที่ใช้ในการออกแบบคาน T-Girders ในปัจจุบันของโครงการ

ANALYSIS OF A TYPICAL SPAN 30 METER SUPERSTRUCTURE OF DON MUANG TOLLWAY PROJECT

Abstract

        This report present a method to analyze the typical span of 30 meter superstructure of don Muang Tollway Project according to AASHTO standard specifications. Various cases of dead loads and live loads have been considered. Series of trucks have been placed at the position to produce the maximum action effects (moment, shear, torsion) in the T-Girders with considering the load reduction factor and impact factor in accordance with AASHTO. The structure is modelled as a plane grid system and analyzed by MICROFEAP-II (P2 : Release 2.1) package. Its results with compared to actual design values is also presented in this study.

Top ...

ชื่อผู้ทำโครงการ (39/2)

1. นาย มนตรี ปัญญานิรันดร์


กรณีศึกษาผลกระทบของ Diaphragms กับโครงสร้างส่วนบนโครงการดอนเมืองโทล์ลเวย์

บทคัดย่อ

        ปริญญานิพนธ์ฉบับนี้ เป็นการศึกษาโครงสร้างส่วนบนของโครงการทางยกระดับ ดินแดง-ดอนเมือง (Don Muang Tollway Project) ซึ่งถูกออกแบบให้มีลักษณะแตกต่างไปจากโครงสร้างส่วนบนทางยกระดับทั่วๆ ไป อย่างชัดเจน กล่าวคือ ไม่มีการนำคานขวางมาใช้เป็น Diaphragms ยึดรั้งโครงสร้าง ตามมาตรฐาน AASHTO ซึ่งในการทำปริญญานิพนธ์ฉบับนี้ จะนำผลวิเคราะห์เดิมของโครงการที่เกิดจากการจำลองโครงสร้างโดยใช้ Deck Slab เป็น Diaphragms มาเปรียบเทียบกับผลที่วิเคราะห์ได้จากการใช้คานขวาง ขนาดต่างๆ ใส่เป็น Diaphragms (คาน) เข้าไปในโครงสร้าง จะทำให้ค่าหน่วยแรงภายในของ T-girders ลดลงจากเดิมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้น Diaphragms ในรูปแบบของคานขวางขึงไม่จำเป็นสำหรับโครงสร้างนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับผลกระทบที่เกิดจากการก่อสร้าง Diaphragms แต่ละตัว

A CASE STUDY OF EFFECTS OF THE USE OF DIAPHRAGMS IN THE TYPICAL SPAN 30 M. SUPERSTRUCTURE FOR DON MUANG TOLLWAY PROJECT

Abstract

        This report presents effects of the use of diaphragms for a typical span 30 meter superstructure of Don Muang Tollway Project. The original structure was analyzed as a plan grid system by modelled the deck slab as a series of transverse beams like diaphragms. This study introduces several sizes of rectangular beams as diaphragms. In comparison, it is found that the stress resultants of the T-girders in this study are slightly differente from the original model. Therefore, the use of additional transverse beams as diaphragms is not necessary for this project.

Top ...

ชื่อผู้ทำโครงการ (39/3)

1. นาย อรุณ วิทูรวรากร

2. นาย เสริมศักดิ์ พงษ์เมษา

3. นางสาว อาภามาศ จันทร์เมฆา

4. นาย รัฐภูมิ ปริชาตปรีชา


กรณีศึกษาเปรียบเทียบการออกแบบอาคารคอนกรีตโดยใช้มาตรฐาน ว.ส.ท. กับ ACI

บทคัดย่อ

        ปริญญานิพนธ์ฉบับนี้ได้ทำการศึกษาความแตกต่างของวิธีในการออกแบบอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กในประเทศไทย ระหว่างการใช้ทฤษฎีหน่วยแรงใช้งาน (มาตรฐาน ว.ส.ท.) และทฤษฎีกำลังประลัย (มาตรฐาน ACI 318-89) โดยทำการเปรียบเทียบเฉพาะปริมาณเหล็กเสริมหลักในองค์อาคาร 2 ประเภท คือ เสา และคานเท่านั้น นอกจากนี้ยังได้ทำการสร้างกราฟและสเปรตชีตเพื่อใช้ในการออกแบบคานคอนกรีตเสริมเหล็กรับแรงดึงอย่างเดียว (Single Reinforcement) และเสาสั้นรูปสี่เหลี่ยมรับโมเมนต์แกนเดียว (Uniaxial Column) โดยอาศัยหลักการตามข้อกำหนดและมาตรฐานที่กล่าวไว้ข้างต้น
        จากการศึกษาออกแบบอาคารตัวอย่าง (Frame 22 ชั้น) พบว่า ค่าปริมาณเหล็กเสริมรับแรงดึงในคานที่ออกแบบโดยทฤษฏีหน่วยแรงใช้งานตามมาตรฐาน ว.ส.ท. มีค่ามากกว่าการออกแบบโดยวิธีกำลังประลัยอยู่ประมาณ 40% และในการออกแบบเสาสั้นคอนกรีตเสริมเหล็กรับโมเมนต์แกนเดียวโดยวิธีหน่วยแรงใช้งานตามมาตรฐาน ว.ส.ท. มีค่ามากกว่าการออกแบบโดยทฤษฎีกำลังประลัยตามมาตรฐาน ACI 318-89 อยู่ประมาณ 50%

A COMPARISON STUDY OF RC BUILDING DESIGN USING EIT AND ACI METHODS

Abstract

        This report presents two partical design codes as presently used for designing reinforced concrete buildings in Thailand, i.e., Working Strength Design (by EIT Standard) and Ultimate Strength Design (by ACI 318-89) by comparing the amount of main steel in the beam and column elements only. Associated worksheets and design graphs corresponding to the two methods have been created as a tool for computing necessary reinforcements for a rectangular column section base on uniaxial design.
        As an example, a 22 story plane frame subjected to dead load, live load and wind load has been selected to illustrate the difference of the methods and results. It is found that the amounts of the main reinforcements in all beam and column elements for this example using EIT method are greater than ACI method approximately of 40% and 50% respectively.

Top ...

ชื่อผู้ทำโครงการ (39/4)

1. นางสาว วริยา ผาฟองยุน

2. นาย สมพงษ์ มอญแก้ว

3. นาย สมโชค เล่งวงศ


กรณีศึกษาการวิเคราะห์โครงสร้างรูปตัว Y มาตรฐาน โครงการดอนเมืองโทล์ลเวย์

บทคัดย่อ

        ปริญญานิพนธ์ฉบับนี้เป็นกรณีศึกษาการวิเคราะห์โครงสร้างรูปตัว Y มาตรฐาน (Typical Y-Shaped Pier) โครงการดอนเมืองโทล์ลเวย์ ซึ่งมีช่วงความยามมาตรฐาน (Typical Span) 30 เมตร ในการศึกษานี้ประกอบด้วยการนำน้ำหนักประเภทต่างๆ ตามมาตรฐาน AASHTO เช่น น้ำหนักบรรทุกคงที่ (Dead Load) น้ำหนักบรรทุกจร (Live Load) แรงลม (Wind Load) ที่กระทำกับโครงสร้างส่วนบนถ่ายลงสู่โครงสร้างรูปตัว Y มาตรฐานที่จะศึกษา โดยมีการวางน้ำหนักบรรทุกจรในรูปแบบต่างๆ (Load Patterns) เพื่อให้เกิดค่าหน่วยแรงสูงสุดที่จะนำไปใช้ในการออกแบบ ส่วนแรงลมจะมีผลต่อการล้มคว่ำของโครงสร้าง นอกจากนี้ได้มีการศึกษาการจำลองโครงสร้างที่ Final Stage ของโครงสร้างรูปตัว Y มาตรฐาน เพื่อใช้ประกอบในการวิเคราะห์โครงสร้างเพื่อหาค่าหน่วยแรงต่อไป รวมถึงการรวมแรง (Load Combinations) โดยใช้วิธี Load Factor Design ของ AASHTO นอกจากนี้ได้มีการศึกษาขั้นตอนการก่อสร้างโครงสร้างรูปตัว Y มาตรฐาน ซึ่งในการออกแบบและก่อสร้างจะขึ้นอยู่กับขั้นตอนการก่อสร้างเป็นหลัก
        จากการศึกษาการวิเคราะห์โครงสร้างรูปตัว Y มาตรฐาน ผลการศึกษาที่ได้เป็นไปตามการวิเคราะห์โครงสร้างของโครงการดอนเมืองโทล์ลเวย์ที่ได้ก่อสร้างไปแล้ว

ANALYSIS OF STANDARD Y-SHAPED PIER FOR DON MUANG TOLLWAY PROJECT

Abstract

        This project is a case study of analysis of standard Y-shaped pier for Don Muang Tollway Project, having span length of 30 m from column to column. Three types of loads were considered in this study,i.e., dead loads, live loads and wind loads. Live loads were considered according to AASHTO standard specifications to produce maximum action effects in the structure and the effect of wind loads. Apart from this consideration, a structural model at the final stage of standard Y-shaped pier is presented. The loads factor design method is used for load combinations. In addition, the sequences of construction stages of standard Y-shaped pier is also presented.
        The results of the analysis of the standard Y-shaped pier in this study have been found to be the same as the past designed results.

Top ...

ชื่อผู้ทำโครงการ (39/5)

1. นาย พชร พัวพิทยาเลิศ

2. นาย ณัฏฐวุฒิ โชติ

3. นาย ธีรเดช อ่ำเกตุ

4. นาย ศักรินทร์ อินโปธา


กรณีศึกษาการวิเคราะห์โครงสร้างเฟรมรูปตัว U คว่ำ ชนิด 2.0 โครงการดอนเมืองโทลล์เวย์

บทคัดย่อ

        ปริญญานิพนธ์ฉบับนี้ได้บรรยายถึงขั้นตอนการก่อสร้างและวิธีการวิเคราะห์โครงสร้างส่วนล่างของเฟรมรูปตัว U คว่ำชนิด 2.0 ของโครงการดอนเมืองโทลล์เวย์ ซึ่งมีความยาวช่วง (Span) 30.10 เมตร กว้าง 6 ช่องทางจราจร สูงประมาณ 15 เมตร เนื้อหาประกอบด้วยความเป็นมาของโครงการรวมถึงมาตรฐานที่ใช้ในการออกแบบ และการกล่าวถึงขั้นตอนในการก่อสร้าง นอกจากนี้ได้กล่าวถึงวิธีการจำลองโครงสร้างสำหรับเฟรมรูปตัว U คว่ำ 3 รูปแบบเพื่อใช้ประกอบการวิเคราะห์และรูปแบบการวางน้ำหนักบรรทุกจรประเภทต่างๆ รวมทั้งการคิดแรงลมตามมาตรฐาน AASHTO สุดท้ายได้กล่าวถึงผลลัพธ์ที่ได้จากการวิเคราะห์โครงสร้างที่ Final Stage รวมถึงการสรุปผลที่ได้จากการศึกษาทั้งหมด

ANALYSIS OF AN INVERTED U-FRAME TYPE 2.0 FOR DON MUANG TOLLWAY PROJECT

Abstract

        This report presents construction sequences and a practical method for analysing the substructure of an inverted U-FRAME Type 2.0 for Don Muang Tollway Project. The structure is 30.10 m span length, 6 traffic lanes wide and about 15 m high. Three types of structural models are presented. Various cases of live loads and wind loads according to AASHTO standard specifications have been considered to produce maximum action effects on the structure. As a result, the structure was analyzed at the final stage and the results of combined loads at the supports corresponding to the load factor design method of AASHTO are finally presented.

Top ...

ชื่อผู้ทำโครงการ (39/6)

1. นาย ปรีดา นิรมัยถาวร

2. นาย ธันวา ศุภสมุทร

3. นาย วัฒนพงศ์ หิรัญมาลย์

4. นาย ณัฐพงษ์ วรนาม


กรณีศึกษาเปรียบเทียบการวิเคราะห์อาคารแบบ 2 มิติ กับ 3 มิติ

บทคัดย่อ

        โครงงานนี้ได้ศึกษาถึงความเหมาะสมและข้อแตกต่างในการเลือกใช้วิธีการวิเคราะห์โครงสร้างอาคาร ซึ่งจะทำการศึกษาผลการวิเคราะห์โครงสร้างของอาคาร เมื่อถูกแรงลมกระทำตามข้อเทศบัญญัติกรุงเทพฯมหานคร พ.ศ. 2522 และแรงกระทำจากแนวดิ่ง โดยใช้วิธีอีลาสติกเป็นวิธีการวิเคราะห์ ในการวิเคราะห์ได้ใช้โปรแกรม MicroFEAP-II P1:Module Release 3.3 วิเคราะห์โครงสร้างด้วยวิธี 3 มิติ ซึ่งผลการศึกษาพบว่า การวิเคราะห์โครงสร้างด้วยวิธี 2 มิติ จะให้ค่าแรงภายในชิ้นส่วนของโครงสร้าง ที่มีเสาและคานเป็นส่วนประกอบและรวมถึงค่าการเซ (Sway) ของโครงสร้างนั้นจะมีค่ามากกว่าการวิเคราะห์โครงสร้างด้วยวิธี 3 มิติ ส่วนในการวิเคราะห์โครงสร้างที่มีผนังรับแรงเฉือน (Shear Wall) เป็นส่วนประกอบ ค่าของแรงภายในชิ้นส่วนและการเซ (Sway) ของตัวโครงสร้าง การวิเคราะห์ด้วยวิธี 3 มิติ จะให้ค่าที่มากกว่า นอกจากนี้ยังพบว่า การวิเคราะห์โครงสร้างแบบ 2 มิติ และ 3 มิติ เนื่องจากแรงในแนวดิ่ง (น้ำหนักจร) จะให้ค่าของแรงตามแนวแกนเสาใกล้เคียงกันมาก จากการศึกษาครั้งนี้พบว่า ความเหมาะสมของวิธีที่ใช้ในการวิเคราะห์อาคาร จะขึ้นอยู่กับรูปร่างลักษณะของอาคาร การวางตำแหน่งของผนังรับแรงเฉือน (Shear Wall) หรือ (Lift) และชนิดของน้ำหนัก (แรงลม แรงในแนวดิ่ง) ที่กระทำกับโครงสร้าง

ANALYSIS OF AN INVERTED U-FRAME TYPE 2.0 FOR DON MUANG TOLLWAY PROJECT

Abstract

        This report presents two methods for analyzing buildings by modeled as two dimensional (2D) frame conformed to MicroFEAP-II P1:Module Release 3.3 programe and as three dimensional (3D) building systems using XETABS 95 program accordingly. As an example, a selected building subjected to lateral wind loads of Bangkok Standard BC. 1979 and vertical load due to live loads is illustrated. It is obviously shown that the results (member stresses and sway) of 2D analysis for the frames consisting only beams and columns with subjected to wind loads are greater than the results of 3D analysis and they are totally opposite for the frames naving shear walls. For the case of vertical load, the difference of results from both methods is insignificant. Finally, a conclusion is made for the suitability of the methods: configuration of buildings, position of shear wall and type or direction of loading should be taken into account in selecting the method for analyzing a building.

Top ...

ชื่อผู้ทำโครงการ (39/7)

1. นางสาว จินดามณี น้อยทวี

2. นางสาว นิศรา คงผอม

3. นาย รมร เสนาะเมือง


การสร้างระบบป้อนข้อมูลแบบกราฟฟิคสำหรับโครงสร้าง Frame และ Truss 2 มิติ

บทคัดย่อ

        โครงงานนี้เป็นการพัฒนาโปรแกรมป้อนข้อมูลแบบกราฟฟิคสำหรับโครงสร้าง Frame และ Truss 2 มิติ โปรแกรมมีชื่อว่า Winframe เขียนขึ้นโดยใช้ภาษา Visual Basic 3.0 ซึ่งทำงานภายใต้ระบบวินโดวส์ โครงสร้างข้อมูลของโปรแกรมได้มีการออกแบบให้สอดคล้องกับโปรแกรม Microfeap-II โมดูล P1 เพื่อประโยชน์ของการพัฒนาเชื่อมโยงโปรแกรมทั้งสองในอนาคต ข้อมูลที่สำคัญประกอบด้วยข้อมูลเกี่ยวกับ Nodes ข้อมูลเกี่ยวกับ Elements และข้อมูลประเภทของ Loads ในการพัฒนาเบื้องต้นนี้ ข้อมูลของโปรแกรมจะมีการจัดเก็บในรูปแบบของกราฟฟิคควบคู่ไปกับ Text Files เพื่อให้โปรแกรมโครงสร้างทั่วไปสามารถติดต่อเชื่อมโยงนำข้อมูลไปใช้งาน ในการใช้งานได้มีการเตรียม Icon พื้นฐาน เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้ Icon ของจุดรองรับและของ Load แต่ละประเภทเป็นต้น ในการศึกษานี้ได้มีการทดสอบใช้โปรแกรมกับโครงสร้าง Truss และ Frame อย่างง่าย ซึ่งผลลัพธ์ถูกต้องและสะดวกรวดเร็วกว่าการป้อนด้วยระบบตัวเลขมาก อย่างไรก็ตามโปรแกรมนี้ ก็ยังมีอีกหลายจุดที่สมควรได้รับการพัฒนาปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะการเพิ่มเครื่องมือ (Toolbar) เพื่ออำนวยความสะดวกในกรณีปัญหาโครงสร้างขนาดใหญ่ เป็นต้น

DEVELOPMENT OF A GRAPHIC INPUT MODULE FOR 2D FRAME AND TRUSS STRUCTURAL SYSTEMS

Abstract

        A graphic data input module namely Winframe for generating structural geometry data of 2D Frame and Truss structural system is developed in this project. It is written in Visual Basic 3.0 for Windows. Data formats have been designed in accordance with Microfeap-II Module P1 as it is planned to be serve as a preprocessor of the P1 Module in future. Three parts of main data have been implemented in the system, i.e., Node data, Element Data and Load Data. For the meantime, sets of structural data can be exported to other structural programs via text files. Some basic utillity Icon are also provided for the users. At the end of this study, simple structures of Truss and Frame have been selected to demonstrate the user-conveniences of the system. However, it is suggested that the efficiency of the system concerning the user-

Top ...


ปริญญานิพนธ์ ปีพ.ศ. 2540

ชื่อผู้ทำโครงการ (40/1)

1. นาย สมบัติ ศรีธเนศ

2. นาย อาคม พลพันธ์

3. นาย นัฐพงษ์ ลิ้มศิริเศรษฐกุล

4. นาย กฤษณ์ พินนาสัก


การตรวจสอบความปลอดภัยของโครงสร้างส่วนบนช่วงความยาว 40 เมตร โครงการดอนเมืองโทลล์เวย์ เนื่องจากน้ำหนักรถบรรทุกไทย

บทคัดย่อ

        โครงงานนี้เป็นการวิเคราะห์เพื่อตรวจสอบความปลอดภัยของโครงสร้างส่วนบนช่วงความยาว 40 เมตร ของโครงการดอนเมืองโทลล์เวย์ เนื่องจากน้ำหนักรถบรรทุกที่นิยมใช้ในประเทศไทยซึ่งมี 7 ประเภท (ตามประกาศผู้อำนวยการทางหลวง) เปรียบเทียบกับรถบรรทุก HS 20-44 ตามมาตรฐาน AASHTO ที่ใช้ออกแบบ โดยมีการจำลองคานคอนกรีตอัดแรงรูปตัว T เป็นแบบคานช่วงเดียวและมีแผ่นยางรองรับทำหน้าที่เป็นจุดรองรับและพิจารณาให้รถบรรทุกแต่ละประเภทเคลื่อนที่ไปในแต่ละเลนแบบคันเดียว (single truck) และแบบเป็นขบวน (Convoy of Trucks) โดยมีการจัดวางตำแหน่งรถบรรทุกเพื่อให้เกิดรูปแบบของน้ำหนัก (Load Pattern) ที่ทำให้เกิดค่าหน่วยแรงสูงสุด ณ. ตำแหน่งที่ต้องการพิจารณา แล้วใช้โปรแกรมสำเร็จรูป MICROFEAP-II โมดูล P1 เป็นโปรแกรมหลักในการวิเคราะห์หาค่าหน่วยแรงต่างๆ จากผลการศึกษาสรุปได้ว่าเมื่อมีรถบรรทุกเคลื่อนที่เป็นขบวนไปในแต่ละเลนจะเกิดผลกระทบที่จุดรองรับสะพานมากกว่าที่คานคอนกรีตอัดแรงรูปตัว T และให้ค่ามากกว่าค่าของ AASHTO ถึง 26% ทำให้มีการเสนอแนะจำกัดน้ำหนักพิกัดปลอดภัยของรถบรรทุกแต่ละประเภทที่จะขึ้นไปใช้ทางยกระดับดอนเมืองโทลล์เวย์

SAFETY CHECK OF A 40 METER SPAN SUPERSTRUCTURE OF DON MUANG TOLLWAY PROJECT DUE TO THAI TRUCK LOADS

Abstract

        The purpose of the study is to investigate the safety of a 40 meter span of the superstructure of Don Muang Tollway Project due to 7 types of Thai Trucks according to the Department of Highway. Each T-girder that places on bearing pads is modelled as a simply supported beam. By considering the load patterns as single truck and convoy of trucks in each lane, the maximum action effects at desired sections can be analysed by using Microfeap-II (P1: Release 3.3) program for each load case. It is found that the result of support reactions is about 26% greater than the result obtained from HS 20-44 truck of AASHTO, for which it was used in designing this structure. Finally, a controlled weight table is proposed for esch type of Thai Truck.

Top (2540)...

ชื่อผู้ทำโครงการ (40/2)

1. นาย สุภเวช ยวนแหล

2. นาย ประวิทย์ เปรมศรี

3. นาย อมร นวลเพชร์

4. นาย สงกรานต์ ชลอศรีทอง


แนวทางการออกแบบสะพานลอยชั้น 7 เชื่อมอาคาร D และอาคาร F ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร

บทคัดย่อ

        โครงงานนี้ได้ทำการศึกษาแนวทางการออกแบบสะพานลอยชั้น 7 เชื่อมอาคาร D และอาคาร F ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร ซึ่งทำการศึกษาเลือกรูปแบบโครงสร้างสะพานเป็นรูปโครงถัก (Truss) ทำการวิเคราะห์โครงสร้างเนื่องจากแรงในแนวดิ่ง (น้ำหนักบรรทุกคงที่ น้ำหนักบรรทุกจร) และแรงในแนวนอน (แรงลม) โดยใช้โปรแกรม Microfeap - II (P1) มาช่วยในการวิเคราะห์ ส่วนการออกแบบชิ้นส่วนใช้มาตรฐาน AISC และทำการออกแบบจุดรองรับโครงสร้างสะพานเป็นคานยึดติดกับองค์อาคารเดิม พร้อมทั้งวิเคราะห์ผลกระทบต่อองค์อาคารเดิม เนื่องจากน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น

A PRELIMINARY DESIGN OF THE 7th FLOOR WALKWAY BETWEEN THE EXISTING BULIDINGS D AND F OF MAHANAKORN UNIVERSITY OF TECHNOLOGY

Abstract

        A preliminary design of 7th floor walkway between two existing Buildings D and F of Mahanakorn University of Technology is presented in this study. A 36 meter span of steel truss structure subject to dead load, live load and wind load is selected as a case study and be analysed by Microfeap - II P1 Module program and designed according to AISC standards. The side effects of installation of the walkway to existing buildings are also considered.

Top (2540)...

ชื่อผู้ทำโครงการ (40/3)

1. นาย วิทวัส วงศ์เครือศร

2. นาย ศักดิพงษ์ ธีรเนตร

3. นาย พุทธกร ช้างเสวก

4. นาย เชิดชัย วิชาหา


กรณีศึกษาเปรียบเทียบการออกแบบอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กโดยใช้มาตรฐาน ว.ส.ท. กับ ACI

บทคัดย่อ

        ปริญญานิพนธ์ฉบับนี้ได้ทำการศึกษาความแตกต่างของวิธีในการออกแบบอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กในประเทศไทย ระหว่างการใช้ทฤษฎีหน่วยแรงใช้งาน (มาตรฐาน ว.ส.ท.) และทฤษฎีกำลังประลัย (มาตรฐาน ACI 318-89) โดยทำการเปรียบเทียบเฉพาะปริมาณเหล็กในองค์อาคาร 2 ประเภทคือ เสาและคานเท่านั้น ซึ่งใช้ตัวอย่างในการเปรียบเทียบ 2 ตัวอย่าง คือ อาคารตัวอย่างที่ได้ทำการก่อสร้างจริงสูง 19 ชั้น และอาคารตัวอย่างสูง 22 ชั้น โดยได้ทำการสร้างกราฟ และสเปรดชีทเพื่อใช้ในการออกแบบคานคอนกรีตรับแรงดึง และแรงอัดร่วมกัน (Double Reinforcement) โดยอาศัยหลักการตามข้อกำหนดและมาตรฐานที่กล่าวไว้ข้างต้น
        จากการศึกษาออกแบบอาคารตัวอย่างที่ได้ทำการก่อสร้างจริง (Frame 19 ชั้น) พบว่าปริมาณเหล็กเสริมรับแรงดึงและแรงอัดในคานและปริมาณเหล็กเสริมในเสาที่ออกแบบโดยทฤษฎีหน่วยแรงใช้งานตามมาตรฐาน ว.ส.ท. มีค่ามากกว่าปริมาณเหล็กเสริมรับแรงที่ออกแบบโดยทฤษฎีกำลังประลัยตามมาตรฐาน ACI อยู่ประมาณ 3% และ 57% ตามลำดับ และพบว่าปริมาณเหล็กเสริมในคานและในเสาที่ใช้ก่อสร้างจริง มีค่ามากกว่าที่คำนวณโดยทฤษฎีหน่วยแรงใช้งานตามมาตรฐาน ว.ส.ท. อยู่ประมาณ 50% และ 43% ตามลำดับ หรือมีค่ามากกว่าที่คำนวณโดยทฤษฎีกำลังประลัยตามมาตรฐาน ACI อยู่ประมาณ 55% และ 124% ตามลำดับ
        จากการศึกษาออกแบบอาคารตัวอย่าง 22 ชั้น พบว่าปริมาณเหล็กเสริมรับแรงดึงและแรงอัดในคาน และปริมาณเหล็กเสริมในเสาที่ออกแบบโดยทฤษฎีหน่วยแรงใช้งานตามมาตรฐาน ว.ส.ท. มีค่ามากกว่าที่คำนวณโดยทฤษฎีกำลังประลัยตามมาตรฐาน ACI อยู่ประมาณ 91% และ 107% ตามลำดับ

A COMPARISON STUDY OF RC BUILDING DRSIGN USING EIT AND ACI METHODS

Abstract

        This report presents two practical design codes as curently used for designing Reinforced concrete buildings in Thailand, i.e., Working Strength Design (by EIT Standard) and Ultimate Strength Design (by ACI 318-89) by comparing the amount of main reinforcements in the beam and column elements only. A constructed plane frame of 19 story and a 22 story plane frame of the previous research have been selected as examples to illustrate the problems. Loads considered are dead load, live load and wind load. Associated worksheets and design graphs have been created as tools for computing necessary reinforcements for a rectangular beam section based on double reinforcement design and also for a rectangular column section based on uniaxial design.
        For the 19 story plane frame, it is found that the amounts of main reinforcements in beams and columns by EIT method are greater than ACI approximately 3% and 57% respectively. In addition, It is also observed that the amounts of reinforcements provided in the drawings are greater than EIT Method about 50% for beams and 43% for columns.
        For the 22 story plans frame, it is found that the amounts of main reinforcement in beams and columns by EIT method are greater than ACI approximately 91% and 107% respectively.

Top (2540)...

ชื่อผู้ทำโครงการ (40/4)

1. นาย วิษณุ เลิศพัฒนกุลธร

2. นาย อดิศักดิ์ นวลไชยดี

3. นาย หทัย มาโนชนฤมล

4. นาย นิวัฒน์ งามละมัย


การพัฒนาระบบป้องกันข้อมูลแบบกราฟฟิคสำหรับโครงสร้าง FRAME และ TRUSS 2 มิติ โดยใช้ภาษา DELPHI 3.0

บทคัดย่อ

        โครงงานนี้เป็นการพัฒนาโปรแกรมป้อนข้อมูลแบบกราฟฟิคสำหรับโครงสร้าง Frame และ Truss 2 มิติ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้แทนการป้อนรูปทรงของโครงสร้างด้วยระบบตัวเลข โปรแกรมมีชื่อว่า Winframe 2.0 เขียนขึ้นด้วยภาษา Delphi 3.0 ซึ่งทำงานภายใต้ระบบวินโดวส์ โครงสร้างข้อมูลของโปรแกรมได้มีการออกแบบให้สอดคล้องกับของโปรแกรม Microfeap-II โมดูล P1 เพื่อประโยชน์ของการพัฒนาเชื่อมโยงโปรแกรมทั้งสองในอนาคต ข้อมูลที่สำคัญประกอบด้วยข้อมูลเกี่ยวกับ Nodes ข้อมูลเกี่ยวกับ Elements และข้อมูลประเภทของ Loads ในการพัฒนาเบื้องต้นนี้ ข้อมูลของโปรแกรมจะมีการจัดเก็บในรูปแบบของกราฟฟิค ในการใช้งานได้มีการเตรียม Icon พื้นฐาน เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ใช้ เช่น Icon ของจุดรองรับและของ Load แต่ละประเภท เป็นต้น อย่างไรก็ตามโปรแกรมนี้ก็ยังมีอีกหลายจุดที่สมควรได้รับการพัฒนา ปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นในอนาคต

DEVELOPMENT OF A GRAPHIC INPUT MODULE FOR 2D FRAME AND TRUSS STRUCTURAL SYSTEMS USING DELPHI 3.0

Abstract

        A graphic data input module namely Winframe 2.0 for generating structural geometry data of 2D Frame and Truss structural systems is developed in this project. It is written in Delphi 3.0 for Windows . Data formars were designed in accordance with Microfeap-II Module P1 as it is planned to be served as a pre-processor of the P1 Module in the future. Three parts of main data, i.e., Node Data, Element Data, and Load Data, have been implemented in the system. For the meantime, sets of structural data data can be exported to other structural programs via text files. Some basic utility icons are also provided for the users. However, it is suggested that the efficiency of the system should be improved for the future research.

Top (2540)...

ชื่อผู้ทำโครงการ (40/5)

1. นาย สนิท ลีจันทึก

2. นาย มนตรี โป่วพิกุล

3. นาย ยุทธพงษ์ เสนาเจริญ

4. นาย ณพดล เกษา


การวิเคราะห์โครงสร้างส่วนบนช่วงความยาว 30 เมตร โครงการดอนเมืองโทลล์เวย์ เนื่องจากน้ำหนักบรรทุกจรโดยใช้ระบบ Grid-Plate

บทคัดย่อ

        ปริญญานิพนธ์ฉบับนี้เป็นการศึกษาการวิเคราะห์โครงสร้างส่วนบน (Superstructure) ช่วงความยาว 30 เมตร โครงการดอนเมืองโทลล์เวย์เนื่องจากน้ำหนักรถบรรทุก HS20-44 ตามมาตรฐาน AASHTO โดยมีการจำลองโครงสร้างเป็นแบบ Grid-Plate ซึ่งประกอบด้วยร่างแหของพื้นและร่างแหของคานยึดติดกันเพื่อให้โครงสร้างจำลองมีความใกล้เคียงสภาพจริงมากที่สุดและเปรียบเทียบผลลัพท์ที่ได้กับการจำลองโครงสร้างแบบ Plane Grid ซึ่งได้มีการศึกษา ก่อนหน้านี้ หน่วยแรงที่ได้จะไม่แตกต่างกันมากนักแต่ผลลัพท์ของการจำลองโครงสร้างแบบ Plane Gride จะสะดวกต่อการนำไปใช้ออกแบบชิ้นส่วนโครงสร้างมากกว่า

ANALYSIS OF A 30 METER SPAN SUPERSTRUCTURE OF DON MUANG TOLLWAY PROJECT DUE TO TRUCK LOADS USING GRID-PLATE STRUCTURAL SYSTEM

Abstract

        The purpose of this study is to analyse a 30 meter typical span superstructure of Don Muang Tollway Project modelled as a grid-plate structural system and using Microfeap-II (P2:Release 2.1) program. The system composes of meshes of T-girders and deck slab subject to each pattern of truck loads, HS20-44 of AASHTO, which is placed to produce maximum action effects at the desired sections. The results are also compared to the results of previous study which was modelled by plane grid system.

Top (2540)...


ปริญญานิพนธ์ ปีพ.ศ. 2541

ชื่อผู้ทำโครงการ (41/1)

1. นาย สมบูรณ์ อภิรักษ์ตั้งสกุล

2. นาย คมกริช บุญประเสริฐ

3. นาย รำพึง โตยัง

4. นาย รณรงค์ บุญประสิทธ


กรณีศึกษาการออกแบบเบื้องต้นและการติดตั้งโครงหลังคาช่วงความยาว 107 เมตร โครงการ Sport Complex ศูนย์กีฬาเมืองทองธานี

บทคัดย่อ

        โครงงานฉบับนี้เป็นการศึกษาการออกแบบและติดตั้งโครงหลังคาเอนกประสงค์ศูนย์กีฬาเมืองทองธานี โครงหลังคานี้เป็นโครงข้อหมุน 2 มิติ และเป็นโครงสร้างหลักของโครงหลังคา มี 2 รูปแบบ คือ Primary Truss และ Transfer Truss ซึ่งมีช่วงความยาว 86 เมตร ลักษณะเด่นในด้านวิศวกรรมของ Primary Truss คือมีอัตราส่วนความลึกขององค์อาคารต่อความยาวระหว่างฐานรองรับประมาณ 1:30 ซึ่งมีความลึกน้อยมากเมื่อเทียบกับอัตราส่วนโดยทั่วไปจะอยู่ประมาณ 1:10 เนื่องจากมีการใส่แรงให้กับโครงสร้างก่อนที่จะรับน้ำหนักบรรทุกต่างๆ โดยผ่านชิ้นส่วนที่เรียกว่า Stress bar สำหรับ Transfer Truss มีอัตราส่วนประมาณ 1:8 ถือว่าเป็นโครงสร้างที่มีความลึกปกติ การวิเคราะห์โครงสร้างเพื่อหาหน่วยแรงที่เกิดขึ้นของ Primary Truss จะคำนึงถึงลำดับขั้นตอนของการก่อสร้างเป็นสำคัญ โดยการจำลองโครงสร้างตามสภาวะต่างๆ ที่สอดคล้องกับการติดตั้ง ส่วน Transfer Truss สามารถวิเคราะห์ค่าหน่วยแรงในชิ้นส่วนเนื่องจากน้ำหนักประเภทต่างๆ ที่สภาวะใช้งาน (Final Stage) ได้ตามปกติ จากการตรวจสอบหน่วยแรงสูงสุดที่เกิดขึ้นในชิ้นส่วนและค่าการแอ่นตัวของโครงหลังคาทั้ง 2 แบบ พบว่ามีค่าไม่เกินค่าที่ยอมให้ โดยค่าหน่วยแรงสูงสุดที่เกิดขึ้นใน Stress bar มีค่าประมาณ 67% ของหน่วยแรงที่ยอมให้

PRELIMINARY DESIGN AND INSTALLATION OF LONG SPAN ROOF TRUSSES OF MUANG THONG SPORT COMPLEX PROJECT

Abstract

        This report is a study of the perliminary design and installation of the long span roof trusses of the muti-purpose Muang Thong sport complex. The roof trusses are plane trusses and the main roof structure consists of Primary trusses and Transfer trusses which have a length of 86 m. Characteristics to stand out are a depth to sapn ratio of about 1:30 for the Primary trusses, which thus have very little depth when compared with the normal ratio of about 1:10. There is applied load to Stress bar before when it subjects to design load. The Transfer Trusses have a depth to span ratio 1:8, which is considered to be normal . The analysis of the trusses to find of the stresses that occur in a Primary truss will bear importantly on the sequence of construction. From the analysis of the highest stresses that occur in the member and the deflection of both types of roof trusses we find that these are not over the allowable limits. The highest stresses that occur in the stressed bar was 67% of that which is allowed.

Top (2541)...

ชื่อผู้ทำโครงการ (41/2)

1. นาย สมเกียรติ มะลิซ้อน

2. นาย โอภาส อัสนี

3. นางสาว ไพรัตน์ แฉ่งใจ

4. นาย สมประสงค์ โชคลาภ


กรณีศึกษาเปรียบเทียบปริมาณเหล็กเสริมหลักในเสาของอาคารสูง 30 ชั้น ที่ออกแบบตามมาตรฐาน ว.ส.ท. กับ ACI

บทคัดย่อ

        ปริญญานิพนธ์ฉบับนี้ได้ศึกษาถึง การออกแบบเสาสั้นโดยวิธีหน่วยแรงใช้งาน (มาตรฐาน ว.ส.ท.) และวิธีกำลังประลัย (ACI 318M-95) โดยหน่วยแรงที่นำไปใช้ในการออกแบบจะมาจากการวิเคราะห์อาคารสูง 30 ชั้น แบบ 2 มิติ โดยใช้โปรแกรม MICROFEAR II: Module P1 กับแบบ 3 มิติ โดยใช้โปรแกรม XETABS95 ซึ่งมีการพิจารณาน้ำหนักบรรทุกคงที่, น้ำหนักบรรทุกจรและแรงลมตามลำดับ นอกจากนี้ยังได้ทำการสร้างกราฟเพื่อใช้ในการออกแบบเสาสั้นรูปสี่เหลี่ยมรับแรงตามแกนและโมเมนต์ดัดแกนเดียว (Uniaxial Column) ซึ่งผลการศึกษาจากการวิเคราะห์อาคารแบบ 2 มิติ พบว่า ปริมาณเหล็กเสริมหลักจากวิธีกำลังประลัยมีค่าน้อยกว่าที่ได้จากวิธีหน่วยแรงใช้งานอยู่ประมาณ 53% และน้อยกว่าที่ใช้งานจริงประมาณ 59% และปริมาณเหล็กเสริมจากวิธีหน่วยแรงใช้งานได้ค่าที่ใช้งานจริงอยู่ประมาณ 11% ในขณะที่ใช้ขนาดหน้าตัดเสาเดียวกันในการวิเคราะห์และออกแบบ
        ผลการศึกษาจากการวิเคราะห์อาคารแบบ 3 มิติ พบว่า ปริมาณเหล็กเสริมหลักจากวิธีกำลังประลัยให้ค่าที่น้อยกว่าที่ได้จากวิธีหน่วยแรงใช้งานอยู่ประมาณ 51% และน้อยกว่าที่ใช้งานจริงอยู่ประมาณ 59% และปริมาณเหล็กเสริมจากวิธีหน่วยแรงใช้งานได้ค่าที่น้อยกว่าที่ใช้งานจริงอยู่ประมาณ 17% นอกจากนี้ยังพบว่า ปริมาณเหล็กเสริมที่ได้จากการออกแบบด้วยวิธีหน่วยแรงใช้งานโดยการวิเคราะห์อาคารแบบ 3 มิติ น้อยกว่า 2 มิติ ประมาณ 6% และวิธีกำลังประลัยจากการวิเคราะห์แบบ 3 มิติ น้อยกว่า 2 มิติ ประมาณ 2%

A COMPARISON STUDY OF MAIN REINFORCEMENTS IN THE COLUMNS OF A 30-STORY CONCRETE BUILDING BETWEEN EIT AND ACI METHODS

Abstract

        This research project studied the amounts of main reinforcements in the columns which was designed according to the working strength of EIT Standard and the ultimate strength of ACI 318M-95. A case study of 30 story concrete building subjected to dead load, live load and wind load was analyzed as two dimension using MICROFEAP-II P1 Module and as three dimension using XETABS95 programes. The resulting force of columns were then taken into account for the design according to the mentioned standards. Spreadsheet as well as interaction diagram for columns were developed as design tools for computing the required reinforcements of the sections. The column in this study is considered as a uni-axial bending moment member.
        Results of two dimensional analysis shows that the amount of main reinforcements in the columns designed according to ACI is about 53% less then EIT and 59% less than the actual construction. Similarly, from the results of three dimensional analysis, it is also found that the amount of main reinforcements according to ACI is about 51% less than EIT and 59% less than the actual construction. On the other hand, the amounts of reinforcements resulting from three dimensional analysis are about 6% and 2% less than two dimensional analysis for EIT and ACI respectively.

Top (2541)...

ชื่อผู้ทำโครงการ (41/3)

1. นาย ไพโรจน์ ออพัฒนกุล

2. นาย ชนม์สมภรณ์ พิศุทธิพงศ์

3. นาย อนันต์ จำเริญ

4. นาย มัธสันย์ ยูโซะ


ความเหมาะสมของการใช้สัมประสิทธิ์ตัวคูณค่าโมเมนต์ดัดของ ว.ส.ท. ในการออกแบบคานในอาคารทั่วไป

บทคัดย่อ

        โครงงานนี้ได้ศึกษาความเหมาะสมของการใช้สัมประสิทธิ์ตัวคูณค่าโมเมนต์ดัดของ ว.ส.ท. ในการออกแบบคานโดยแยกพิจารณาเป็นกรณีของ (1) คานต่อเนื่องทั่วไป และ (2) คานต่อเนื่องในโครงข้อแข็ง มีการจำลองโครงสร้างตัวอย่างเพื่อประกอบการวิเคราะห์ทั้งระบบโดยคำนึงถึงผลเนื่องจากความแตกต่างของค่า Stiffness ในชิ้นส่วน ความแตกต่างของช่วงคาน ตวามแตกต่างของน้ำหนักแผ่ที่กระทำ และความสูงของคานที่ระดับชั้นต่างๆ ในโครงข้อแข็ง ทำการเปรียบเทียบค่าโมเมนต์ดัดที่ได้จากการวิเคราะห์กับค่า ณ ตำแหน่งต่างๆ ตามของ ว.ส.ท. มีค่าน้อยกว่าจากการวิเคราะห์ จึงไม่เหมาะสมที่จะนำค่าดังกล่าว ไปใช้ออกแบบคาน ส่วนบางจุดอาจมีค่าสูงเกินไป ถ้านำไปใช้งานจะได้หน้าตัดคานที่ไม่ประหยัด ดังนั้น วิศวกรโครงสร้างที่ยังนิยมใช้การออกแบบคานโดยวิธีสัมประสิทธิ์จึงควรตระหนักถึงผลที่จะตามมา การวิเคราะห์โครงสร้างอย่างมีประสิทธิภาพควรจะวิเคราะห์โครงสร้างจำลองทั้งระบบตามหลักการทฤษฎี ซึ่งสามารถทำได้อย่างสะดวกและรวดเร็วในปัจจุบันโดยการใช้คอมพิวเตอร์ซอฟท์แวร์

SUITABILITY OF USING MOMENT MULTIPLIER FACTORS OF EIT IN DESIGNING BEAMS

Abstract

        The objective of this project is to investigate the suitability of using EIT moment multiplier coefficients in designing the continuous beams. The models considered are general continuous beam structures and continuous beams at each level of a plane frame structure. Various factors affecting from the adjacent span have been studied, i.e., differences of element stiffness, span length, magnitude of uniform distributed load, and height of beam level in frame. The results of bending moments for each case were compared accordingly with EIT's at the specified section. It has been found that EIT's results show uneconomical design. Thus, it is recommended that an efficient structural design should be made from an effective structural design analysis model in which its analytical results csn be obtained efficiently through any available computer software tools.

Top (2541)...

ชื่อผู้ทำโครงการ (41/4)

1. นางสาว นิภาภรณ์ ปลื้มจิตร

2. นาย สุพจน์ คงสินสุวรรณ

3. นาย นรชัย ทัศวิล


การตรวจสอบหน่วยแรงที่เกิดในโครงสร้างส่วนบนเนื่องจากการเผื่อน้ำหนักบรรทุกเกินพิกัดของรถบรรทุกไทย

บทคัดย่อ

        ปริญญานิพนธ์นี้เสนอวิธีการเปรียบเทียบหน่วยแรงของโครงสร้างส่วนบนของทางยกระดับดอนเมืองโทลล์เวย์ที่มีช่วงความยาว 30 เมตร เนื่องจากน้ำหนักรถบรรทุกพ่วงของไทยประเภทที่ 3 และ 6 ซึ่งคิดน้ำหนักบรรทุกเผื่อเกินพิกัดอีก 30% ตามข้อกำหนดของกรมทางหลวง โครงสร้างมีการจำลองเป็นแบบ Plane Grid และพิจารณาให้รถบรรทุกเคลื่อนที่แบบคันเดียวและแบบเป็นขบวนในแต่ละช่องทาง มีการจำลองน้ำหนักรถบรรทุกแบบ Half Truck เพื่อวิเคราะห์หาค่าหน่วยแรงสูงสุดที่เกิดขึ้นในโครงสร้าง แล้วนำไปเปรียบเทียบกับค่าหน่วยแรงของรถบรรทุก HS20-44 ของ AASHTO ที่ใช้เป็นน้ำหนักจรในการออกแบบ จากผลการศึกษาพบว่าค่าโมเมนต์ดัดสูงสุดที่เกิดขึ้นที่กึ่งกลางคานเนื่องจากรถบรรทุกพ่วงไทย มีค่ามากกว่าค่าโมเมนต์ดัดของรถบรรทุก AASHTO ประมาณ 18% ดังนั้นรถบรรทุกไทยที่บรรทุกน้ำหนักตามพิกัดที่กฎหมายกำหนดสามารถบรรทุกน้ำหนักเกินพิกัดได้อีก 9% แต่ไม่สามารถเผื่อน้ำหนักเกินพิกัดตามการออกแบบสะพานในประเทศไทยซึ่งต้องเผื่อน้ำหนักเกินพิกัดถึง 30% ได้

ANALYTICAL CHECK OF ACTION EFFECTS IN BRIDGE SUPERSTRUCTURE DUE TO OVER LOAD PROVISION OF THAI TRUCKS

Abstract

        This report demonstrates structural results of a 30 metre span superstructure of Don Muang Tollway Project due to Thai trailer trucks (Type 3 and 6) with 30% over load provision according to the Department of Highway. The system was modeled as a plane grid and trucks were considered to move as single and convoy cases along each lane. By placing series of half trucks on each T-girder, the maximum action effects can be obtained. These results were compared to AASHTO truck (HS20-44). It has been found that the maximum bending moment at midspan of T-girder generated by the thai trailers is about 18% higher than the designed value of AASHTO.

Top (2541)...

ชื่อผู้ทำโครงการ (41/5)

1. นาย รักษ์ เพ็ชรรักษ์

2. นาย กษมานิช ศรีสุขเอม

3. นาย นพดล ปานรักษ์

4. นาย ณัฐพงษ์ โกมารทัต

5. นาย ยุทธพงษ์ วงศ์ตะวัน


การทดสอบคุณสมบัติเชิงกลของวัสดุมุงหลังคาอาคารอินดอร์สเตเดียม หัวหมาก

บทคัดย่อ

        วัสดุประกอบ (Composite Materials) ถูกนำมาใช้เป็นวัสดุมุงหลังคาในงานอินดอร์สเตเดียมหัวหมาก กรุงเทพฯ โดยเริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. 2541 ในงานวิจัยนี้มุ่งเน้นรวบรวมข้อมูล และศึกษาถึงคุณสมบัติเชิงกลของวัสดุประกอบที่สัมผัสกับสภาวะการใช้งานจำลอง กำลังดึงของอีพอกซี่ที่นำมาใช้เป็นวัสดุประสาน ประเภทและคุณสมบัติเชิงกลของวัสดุประกอบ กระบวนการผลิต และขั้นตอนการติดตั้ง คุณสมบัติที่ทดสอบประกอบด้วย กำลังดึงของอีพอกซี่ ความหนาแน่น และการดูดซับน้ำของวัสดุประกอบ กำลังรับแรงอัด แรงดัดของวัสดุประกอบ โดยกำหนดตัวแปรหลักที่ใช้ได้แก่ ช่วงระยะเวลาที่ชิ้นตัวอย่างผ่านการอบ ณ อุณหภูมิ 105 องศาเซลเซียสก่อนการทดสอบ จากผลการศึกษาพบว่า อีพอกซี่สามารถรับกำรังดึงสูงสุดเท่ากับ 144.25 กิโลกรัม ที่สภาวะการอบชิ้นตัวอย่าง 30 วัน เมื่อเพิ่มระยะเวลาการอบกำลังดึงของชิ้นวัสดุจะลดน้อยลง ค่าความหนาแน่น และการดูดซึมน้ำของวัสดุประกอบอยู่ระหว่างวัสดุประเภทไม้และอลูมิเนียม คุณสมบัติเชิงกลพื้นฐานของวัสดุประกอบที่ผ่านกระบวนการอบทั้ง 30 และ 45 วัน จะต่ำกว่าชิ้นตัวอย่างที่ไม่ได้ผ่านการอบใดๆ กล่าวคือสามารถรับกำลังอัด และกำลังดัดได้เท่ากับ 1,092.67 และ 95 กิโลกรัม ตามลำดับ ที่สภาวะการอบ 30 วัน แต่เมื่อขยายระยะเวลาการอบเพิ่มมากขึ้นเป็น 45 วัน คุณสมบัติเชิงกลจะลดลง

EXPERRIMENTAL STUDY ON MECHANICAL PROPERTIES OF ROOF SHEET OF THE HUA-MARK INDOOR STADIUM

Abstract

        Composite materials have been applied for use as roof sheets in the Indoor Stadium Hua Mark, Bangkok since 1998. This project was carried out to review the manufacturing and construction processes of composite materials and to investigate the mechanical properties of composite material that sustained on the simulated environments. The properties tested were the tensile property of epoxy, the density and water absorption of composites material and compressive strength and the flexure of composite materials. The main variable is the time during which the specimen was kept at over 105?C at the period of 30 and 45 days before testing. The testing results can be summarized that the maximum tensile strength of epoxy occurred when the specimen was kept at over 105?C with in 30 days. The tensile strength of epoxy decreased when the time that the specimens contacted with high temperature was increased. The density and water absorption of composite materials kept in an over with in 30 and 45 days were lower than those which were not oven. The maximum of compressive strength and bending was also occurred when the specimens were oven with in 30 days. The longer the over time lower the mechanical properties.

Top (2541)...

ชื่อผู้ทำโครงการ (41/6)

1. นาย อนุสรณ์ แซ่ก๊ก

2. นาย ปริญญากรณ์ เจียมสวัสดิ์

3. นาย พัฒนา ชารีศรี

4. นางสาว ศิริรัตน์ โรจนวิภาต


การพัฒนาโปรแกรม Stress Contour สำหรับแสดงผลลัพธ์หน่วยแรงภายในของโครงสร้าง Plate โดยใช้ภาษา Visual Basic 5.0

บทคัดย่อ

        โครงงานนี้เป็นการพัฒนาโปรแกรม Stress Contour สำหรับแสดงผลลัพธ์ค่าหน่วยแรงภายในของโครงสร้าง Plate ในรูปของกราฟฟิก โดยใช้ภาษา Visual Basic 5.0 for Windows โดยยึดรูปแบบข้อมูลหน่วยแรงภายในข้อ Plate ที่ได้จากการวิเคราะห์ด้วยโปรแกรม Microfeap-II โมดูล P2 การแสดงผลทางกราฟฟิกจะออกมาในลักษณะรูปเส้นชั้นความสูง (Stress Contour Line) โครงสร้างของโปรแกรมแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนรับข้อมูล ส่วนคำนวณผลลัพธ์และส่วนแสดงผลลัพธ์ทางกราฟฟิค ในส่วนการรับข้อมูลโปรแกรมนี้สามารถรับข้อมูลได้ 3 ทาง คือ การป้อนข้อมูลทางหน้าจอในลักษณะของ Windows, การนำเข้าข้อมูล (Import Data) จากผลลัพธ์ Microfeap-II โมดูล P2 และการป้อนข้อมูลโดยวิธีคัดลอกข้อมูล (Copy Data to Clipboard) สำหรับส่วนคำนวณผลลัพธ์โปรแกรมสามารถคำนวณหา Contour Point ของ Contour Line แต่ละเส้นโดยใช้วิธีการทางเลขาคณิตและในส่วนแสดงผลลัพธ์ โปรแกรมจะทำการแสดงผลลัพธ์ทางกราฟฟิคออกมาทางหน้าจอเป็นลักษณะ Contour Line โดยจะแสดงเป็นเฉดสีและมี Contour Labels บอกกำกับไว้ในแต่ละแถบสี ทำให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบพฤติกรรมของโครงสร้างได้โดยตรงจากรูป Stress Contour ร่วมกับผลลัพธ์ค่าหน่วยแรงภายในทางตัวเลขที่ได้จากโปรแกรม Microfeap-II โมดูล P2 เพื่อนำไปออกแบบโครงสร้างต่อไป

DEVELOPMENT OF A STRESS CONTOUR PROGRAM FOR OUTPUT RESULTS OF PLATE BY VISUAL BASIC 5.0

Abstract

        A post-processor module namely "Stress Contour" is developed in this study. The program is written in Visual Basic 5.0 for Windows and capable to display the internal stress resultants of plate elements analyzed by Microfeap-II Module P2 in contour lines with different shading. The program consists of three parts, i.e. input, solution and output. The input module is designed to receive the data from data entry slot via keyboards, imported data from clipboard and text files. The graphics of contour lines also include labels indicating the magnitudes of stress intensity which will help engineers in interpreting the results for designing plate structures efficiently.

Top (2541)...

ชื่อผู้ทำโครงการ (41/7)

1. นาย วันทยาวุธ วงศ์กองแก้ว

2. นาย สมบัติ หมื่นจำนงค์

3. นาย ปรัชญา มังกร

4.นาย ฆฤษวี พงศ์อินทร์


การพัฒนาโปรแกรม MUT สำหรับการจัดการข้อมูลแบบเมตริกซ์

บทคัดย่อ

        ในการเพิ่มประสิทธิภาพของการเรียนการสอนวิชาวิเคราะห์โครงสร้างด้วยวิธีเมตริกซ์ ควรจะมีเครื่องมือที่มีคำสั่งคำนวณทางโครงสร้าง โดยนักศึกษาสามารถป้อนข้อมูลและให้โปรแกรมทำงานทีละขั้นตอนตามวิธีการวิเคราะห์ ซึ่งจะทำให้นักศึกษาเกิดทักษะและความเข้าใจที่ดีขึ้นสามารถนำเครื่องมือไปแก้ไขโจทย์ที่มีสมาชิกของเมตริกซ์มากๆ ได้ดีกว่าที่จะใช้โปรแกรมสำเร็จรูปประเภทกล่องดำ (Black Box) โครงงานนี้ได้พัฒนาโปรแกรมให้เหมาะกับการเรียนการสอนในวิชาข้างต้น โดยใช้ชื่อว่าโปรแกรม MUT (Matrix Universal Treatise) เขียนขึ้นโดยภาษา DELPHI 4.0 โปรแกรมมีคำสั่งต่างๆ ในการจัดการข้อมูลเกี่ยวกับเมตริกซ์และคำสั่งในการวิเคราะห์โครงสร้างโดยวิธี Direct Stiffness Method ในส่วนของการวิเคราะห์โครงสร้างโปรแกรมได้อำนวยความสะดวกในการป้อนข้อมูลโครงสร้างเป็นแบบกราฟฟิคโดยในเบื้องต้นของการพัฒนาโปรแกรมสามารถวิเคราะห์ได้เพียงโครงสร้าง Truss 2 มิติ เท่านั้น

A DEVELOPMENT OF MATRIX UNIVERSAL TREATISE (MUT PROGRAM)

Abstract

        To increase the efficiency in learning and teaching matrix course for structural analysis, it should have a tool for manipulating and operating matrix data. By inputting the necessary data in matrix forms, the program should allow students to operate the data manually step-by-step following the analytical procedures as they have learnt from the class. This will lead to better understanding in theoretical concepts for solving structural problems by matrix analysis method than using the black box programs.
        As a result, a program namely MUT (Matrix Universal Treatise) is developed in this study to serve as a teaching aided tool for matrix analysis subject. It includes commands for general matrix operations and commands for matrix analysis of structures. At the beginning stage of development, the program is now capable to solve two dimensional truss structures using direct stiffness method and the mesh of geometry can be specified to the program via a graphic input module.

Top (2541)...

ชื่อผู้ทำโครงการ (41/8)

1. นาย สุทิน สุวรรณนที

2. นาย อภิชาติ สวัสดิ์นพรัตน์

3. นางสาว จรรยา ใช่ทอง


เปรียบเทียบปริมาณเหล็กเสริมในองค์อาคารโดยการวิเคราะห์อาคารแบบ 2 มิติและ 3 มิติ

บทคัดย่อ

        ปริญญานิพนธ์ฉบับนี้ได้ทำการศึกษาเปรียบเทียบปริมาณเหล็กเสริมหลักของการออกแบบองค์อาคารคอนกรีตเสริมเหล็กโดยวิธีหน่วยแรงใช้งาน (มาตรฐาน ว.ส.ท.) ระหว่างการวิเคราะห์โครงสร้างแบบ 2 มิติ และแบบ 3 มิติ โดยการวิเคราะห์แบบ 2 มิติ ใช้โปรแกรม MICROFEAP-II:P1 Module Release 3.3 และแบบ 3 มิติ ใช้โปรแกรม XETABS 95 โดยทำการเปรียบเทียบเฉพาะปริมาณเหล็กเสริมหลักในองค์อาคาร 2 ประเภทคือ เสาและคานเท่านั้น นอกจากนี้ยังได้ทำการสร้างกราฟเพื่อใช้ในการออกแบบเสาสั้นรูปสี่เหลี่ยมรับโมเมนต์สองแกน (Bi-axial Column) และตารางคำนวณเพื่อใช้ในการออกแบบคานคอนกรีตเสริมเหล็ก โดยอาศัยหลักการตามข้อกำหนดและมาตรฐานที่กล่าวไว้ข้างต้น
        จากการศึกษาวิเคาระห์อาคารตัวอย่างสูง 19 ชั้น แบบ 2 มิติและ 3 มิติ ภายใต้น้ำหนักคงที่ น้ำหนักจรและแรงลมตามลำดับ และทำการออกแบบเสาและคานของโครงข้อแข็งตัวอย่าง ผลการศึกษาพบว่า ค่าปริมาณเหล็กเสริมในคานจากการวิเคราะห์โครงสร้างแบบ 2 มิติ มีค่ามากกว่าการวิเคราะห์โครงสร้างแบบ 3 มิติอยู่ประมาณร้อยละ 28 และในเสาซึ่งออกแบบให้รับโมเมนต์ดัดสองแกนจากการวิเคราะห์โครงสร้างแบบ 2 มิติ มีค่ามากกว่าการวิเคราะห์โครงสร้างแบบ 3 มิติ อยู่ประมาณร้อยละ 5

A COMPARISON STUDY OF MAIN REINFORCEMENTS IN STRUCTURAL MEMBERS BETWEEN 2D AND 3D BUILDING ANALYSIS

Abstract

        This study presents comparison results of the amounts of main reinforcements in structural members of a building which was modelled and analyzed as two and three dimensional system. Two types of the considered members, beam and column, are designed according to EIT Standard Specifications (Working Stress Design). The building was analyzed using MICROFEAP-II:P1 Module Release 3.3 and XETABS 95 programs for two and three dimensional systems respectively. Spreadsheet for beam and the interaction diagram for column were developed as design tools for computing the required reinforcements of the sections. The column in this study is considered as a bi-axial bending moment member.
        By analyzing a 19 story concrete building subjected to dead load, live load, amd wind load and considering results of a selected frame for structural member design, it is found that the amounts of main reinforcements for the beams and the columnms from two dimensional analysis are about 28% and 5% higher than three dimensional analysis respectively.

Top (2541)...


ปริญญานิพนธ์ ปีพ.ศ. 2542

ชื่อผู้ทำโครงการ (42/1)

1. นาย อดิศักดิ์ ลิ้มศิริเศรษฐกุล

2. นาย โสภณ มณีแสง

3. นาย ฑิฆัมพร สิทธิธนาสุทธิ์

4. นาย สมิท อภิชนวณิชกิจ


ความเหมาะสมของการใช้สัมประสิทธิ์ตัวคูณค่าโมเมนต์ดัดในการออกแบบคานต่อเนื่อง

บทคัดย่อ

        โครงงานวิจัยนี้ได้ศึกษาถึงความเหมาะสมในการใช้ค่าสัมประสิทธิ์ตัวคูณค่าโมเมนต์ดัดที่กำหนดโดย ว.ส.ท. 5201 ไปใช้ในการออกแบบคานต่อเนื่องทั่วไป โดยมีการพิจารณาถึงรูปแบบการจัดวางน้ำหนักบรรทุกจรแผ่แบบสลับในแต่ละช่วงคานที่กำหนดโดย ว.ส.ท. 5120 ในการศึกษาได้มีการกำหนดตัวอย่างคานต่อเนื่อง 6 ช่วง เพื่อประกอบการวิเคราะห์โดยทำการเปรียบเทียบค่าโมเมนต์ดัดที่ได้จากการวิเคราะห์ ณ ตำแหน่งต่างๆ ที่พิจารณาตามรูปแบบการจัดวางน้ำหนักบรรทุกจร         ผลการศึกษาค่าโมเมนต์ดัดที่ได้จากการวิเคราะห์พบว่ามีหลายรูปแบบที่ให้ค่าโมเมนต์ดัดมากกว่าวิธีสัมประสิทธิ์ และได้นำรูปแบบที่เกิดค่าโมเมนต์ดัดสูงสุดตามตำแหน่งที่พิจารณามาแปลงให้อยู่ในรูปของสูตรอย่างง่ายเพื่อนำไปใช้งาน อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าวิศวกรโครงสร้างควรคำนึงถึงรูปแบบการจัดวางน้ำหนักบรรทุกจรในการนำไปใช้งานจริง และควรทำการวิเคราะห์คานตามหลักทฤษฎี ซึ่งในปัจจุบันสามารถทำได้โดยง่ายโดยการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์มาช่วย

SUITABILITY OF USING MOMENT MULTIPLIER FACTORS IN DESIGNING CONTINUEOUS BEAMS

Abstract

        This research project is to study the suitability of using moment multiplier factors in accordance with EIT 5201 in designing general continuous beams. The considered uniform live load is allowed to place alternately on each span of the beam as suggested by EIT 5120. A selected example of 6-span continuous beam was analyzed in order to obtain the severe live load pattern that produced maximum moment at each specified location of EIT. The simplified formula corresponding to this live load pattern is also presented as well. The studied results show that there are several live load patterns that can give greater moments than EIT's. Thus, structural engineer should consider the live load patterns in analyzing a continuous beam and the beam should be analyzed based on theoretical concept or using any available computer program.

Top (2542)...

ชื่อผู้ทำโครงการ (42/2)

1. นาย วิชัย วงศ์วิศิษฐ์

2. นางสาว รสสุคนธ์ ญาติชาวสวน

3. นาย สมเกียรติ อนุวงศ์พิทักษ์

4. นาย พิเชษฐ์ หนองเหล็ก


การพัฒนาโปรแกรม MUT สำหรับคำนวณเมตริกซ์

บทคัดย่อ

        วัตถุประสงค์ของโครงงานวิจัยนี้เพื่อพัฒนาโปรแกรมที่สามารถคำนวณข้อมูลแบบเมตริกซ์และแก้ปัญหาระบบสมการเชิงเส้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อนำไปประยุกต์ใช้กับการเรียนการสอนวิชาวิเคราะห์โครงสร้างโดยวิธีเมตริกซ์ในชั้นเรียน โดยใช้ชื่อโปรแกรมว่า MUT (Matrix Universal Treatise) เขียนขึ้นโดยใช้ภาษา Delphi 4.0 โปรแกรมมีชุดคำสั่งในการคำนวณเมตริกซ์ เช่น การคูณ 2 หรือ 3 เมตริกซ์, การหา Inverse, การหา Determinant และคำสั่งในการแก้สมการเชิงเส้น เป็นต้น ซึ่งสามารถป้อนข้อมูลและคำนวณได้ทีละขั้นตอนตามหลักวิธีการวิเคราะห์ ซึ่งทำให้นักศึกษาสามารถฝึกฝนและเรียนรู้วิธีการวิเคราะห์ด้วยตัวเองจนเกิดทักษะและความเข้าใจในทฤษฎีมากขึ้น

DEVELOPMENT OF MUT PROGRAM FOR MATRIX OPERATION

Abstract

        The purpose of this research is to develop a program for operation matrix problems and solving simultaneous equation system. The program namely MUT (Matrix Universal Treatise) is written in Delphi 4.0 and can be used to assist students being studied structural analysis subject using matrix method. The system consists of series of commands for matrix operations such as multiplication of two or three matrices, matrix inversion, determinant and solving a system of simultaneous equations, …, etc. Students can easily exercise their own problems step-by-step in order to gain more experiences and understanding the subject using this program.

Top (2542)...

ชื่อผู้ทำโครงการ (42/3)

1. นาย เอกชัย โอฬารสกุลวงศ์

2. นาย อรรคพงศ์ อยู่สุขเจริญ

3. นางสาว ดรุณี ประดิษฐ์จารุโสภณ

4. นาย สราวุธ กาญจนเทียนทิพย์


การพัฒนาโปรแกรม CPM เพื่อวางแผนงานการก่อสร้าง

บทคัดย่อ

        ปริญญานิพนธ์นี้เป็นการพัฒนาโปรแกรม CPM เพื่อวางแผนงานและคำนวณหาสายงานวิกฤตของโครงการโดยใช้วิธี PDM (Precedence Diagramming Method) พัฒนาโดยใช้ภาษา Delphi 4.0 โปรแกรมประกอบด้วย 3 ส่วนคือ ส่วนรับข้อมูล, ส่วนประมวลผลและส่วนแสดงผล ข้อมูลที่ใช้ป้อนได้แก่ รายชื่อกิจกรรม, ระยะเวลาของกิจกรรม, ระยะเวลาคาบเกี่ยวของกิจกรรมและความสัมพันธ์ของกิจกรรมตามหลัง โปรแกรมสามารถคำนวณค่าเวลาของกิจกรรมแต่ละกิจกรรมและแสดงผลออกมาทั้งในแบบของตารางสรุปผลและโครงข่ายแบบ PDM ในรูปของกราฟฟิก
        เนื่องจากเป็นการพัฒนาโปรแกรมเพื่อใช้ประกอบการเรียนการสอนจึงได้ออกแบบให้โปรแกรมสามารถคำนวณค่าระยะเวลาได้เพียงอย่างเดียว ซึ่งก็สามารถนำไปใช้เปรียบเทียบกับการคำนวณจากทฤษฎีทำให้นักศึกษาที่ใช้โปรแกรมนี้เกิดทักษะมากขึ้น ส่วนการจัดการทางด้านอื่นเช่น ทรัพยากรหรือค่าใช้จ่าย ควรได้รับการพัฒนาและปรับปรุงให้ตัวโปรแกรมมีความสมบูรณ์มากขึ้น

DEVELOPMENT OF A CPM PROGRAM FOR CONSTRUCTION PLANNING

Abstract

        The purpose of this study is to develop a program for calculation the critical paths of a construction project using Precedence Diagramming Method (PDM). The program namely CPM is written in Delphi 4.0. It consists of three parts, i.e., input, solution and result. The input data are activity, duration for work, lag and succession. The program can calculate time of each activity and present a summary scheduling table and graphic of Precedence Network.
        Since the program at this stage has been developed for educational purpose so the computation is still limited. However student can use it to compare with results of Network theory in order to improve the skill. The efficiency of the system should be improved for future research.

Top (2542)...

ชื่อผู้ทำโครงการ (42/4)

1. นาย จรัสชาญ จงศรีวัฒนพร

2. นาย วิสุทธิ์ ชินะกุล

3. นาย วีรเทพ เอี่ยมศุภนิมิตร

4. นาย บัณฑิต ธรรมศาสตร์


การสำรวจความคิดเห็นต่อบทบาทของสภาวิศวกรในด้านการพัฒนาระบบการศึกษาด้านวิศวกรรมโยธา

บทคัดย่อ

        ปริญญานิพนธ์ฉบับนี้เป็นการสำรวจความคิดเห็นต่อบทบาทของสภาวิศวกรในด้านการพัฒนาระบบการศึกษาด้านวิศวกรรมโยธา ได้ศึกษาความคิดเห็นในเรื่องเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ และบทบาทของสภาวิศวกร ซึ่งเป็นองค์กรนิติบุคคล ที่เข้ามามีบทบาทแทนคณะกรรมการควบคุมการประกอบวิชาชีพวิศวกรรม พ.ศ. 2505 ในการควบคุม กำกับ และดูแลในสายงานของวิศวกรรมควบคุม รวมทั้งการดูแลสถาบันอุดมศึกษาที่เปิดสอนในสาขาวิศวกรรมควบคุมร่วมกับทบวงมหาวิทยาลัย นอกจากนี้ ได้ศึกษาเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาระบบการศึกษาด้านวิศวกรรมโยธา ในการดำเนินงานได้ใช้แบบสอบถามในการสำรวจความคิดเห็นจากกลุ่มเป้าหมายทั้งสิ้น 3 กลุ่ม คือ คณาจารย์ นักศึกษา และผู้ประกอบวิชาชีพในสาขาวิศวกรรมโยธา ทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งผลที่ได้จากสำรวจความคิดเห็นส่วนใหญ่ทั้งสามกลุ่มเป้าหมาย ต่างให้ความคิดเห็นในทิศทางเดียวกัน คือ สภาวิศวกรควรให้ความสำคัญต่อระบบการศึกษา และร้อยละ 41.2 มีความเชื่อมั่นต่อบทบาทของสภาวิศวกรว่าจะสามารถพัฒนาคุณภาพระบบการศึกษาได้ดีกว่าที่ผ่านมา และสำหรับปัจจัยในด้านต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อการพัฒนาระบบการศึกษา ซึ่งได้จากสำรวจความคิดเห็นครั้งนี้ ก็เป็นสิ่งที่จะสะท้อนให้เห็นถึงแนวทางเพื่อการพัฒนาคุณภาพระบบการศึกษาด้านวิศวกรรมโยธาให้ดียิ่งขึ้นได้ในลำดับต่อไป

A SURVER STUDY ON THE ROLE OF COUNCIL OF ENGINEERS ON CIVIL ENGINEERING EDUCATIONAL DEVELOPMENT

Abstract

        A survey study on the Role of Council of Engineers on Civil Engineering Educational Development is presented. This council has just been adopted to substitute the "Bill of Engineering is Profession in 1962" by the Thai Parliament and will be fully responsible for the profession incorporation with the University Affairs Bureau since this year onwards. The questionnaires of 3 targets groups were made i.e., lecturers, students and practicing civil engineers respectively and the data were collected and analyzed. Results from the study shows that 41.2% of the answers have good confidence that the "Council of Engineers" can develop the civil educational system better than earlier. Also, the collected comments from this survey will reflect the way to improve the civil engineering system in the future.

Top (2542)...

ชื่อผู้ทำโครงการ (42/5)

1. นาย สุนทร ภิรมย์ศาสตร์กุล

2. นาย วุฒิ เจริญกุล

3. นาย โชคดี เพชรทอง

4. นาง เบญจนุช จันทร์มา


ความคิดเห็นของวิศวกรโยธาเกี่ยวกับพระราชบัญญัติวิศวกร

บทคัดย่อ

        ปริญญานิพนธ์เรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเหตุผลในการจัดตั้งสภาวิศวกร โดยการเปรียบเทียบโครงสร้างพระราชบัญญัติวิศวกร พ.ศ. 2542 กับพระราชบัญญัติวิชาชีพวิศวกรรม พ.ศ. 2505 และสำรวจความคิดเห็นของวิศวกรโยธาเกี่ยวกับพระราชบัญญัติวิศวกรโดยมีประเด็นปัญหาที่ต้องการสำรวจความคิดเห็นคือ 1) การจัดตั้งสภาวิศวกรสามารถยกระดับมาตรฐานการศึกษาได้หรือไม่ 2) การจัดตั้งสภาวิศวกรสามารถพัฒนาองค์กรที่ควบคุมให้มรประสิทธิภาพได้หรือไม่ 3) การจัดตั้งสภาวิศวกรสามารถพัฒนาวิธีการทำงานและบทลงโทษของวิศวกรได้หรือไม่ โดยศึกษาจากการออกแบบสอบถามกลุ่มตัวอย่าง 3 กลุ่ม คือ 1) ผู้ที่กำลังจะจบการศึกษาด้านวิศวกรรมโยธา 2) วิศวกรที่ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมโยธา 3) นักวิชาการ ผู้บริหารและผู้ทรงคุณวุฒิด้านวิชาชีพวิศวกรรมโยธา จำนวน 197 ตัวอย่าง
        ผลการศึกษาพบว่า เมื่อมีการจัดตั้งสภาวิศวกรจะทำให้การบริหารองค์กรที่ควบคุมผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมมีความคล่องตัวและอิสระในการทำงานมากขึ้น ซึ่งจากประเด็นปัญหาข้อที่ 1 พบว่าผู้ต้องแบบสอบถามให้ความเห็นว่า การจัดตั้งสภาวิศวกรสามารถยกระดับมาตรฐานการศึกษาให้อยู่ในระดับเดียวกันได้ หากสภาวิศวกรมีมาตรการในการกลั่นกรองใบอนุญาต โดยร้อยละ 75.2 เห็นด้วยหากสภาวิศวกรกำหนดให้ผู้ขอรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพประเภทภาคีวิศวกรต้องผ่านการทดสอบข้อเขียน ประเด็นปัญหาข้อที่ 2 พบว่าผู้ตอบแบบสอบถามให้ความเห็นว่า พระราชบัญญัติวิศวกร พ.ศ. 2542 ได้มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขวิธีการบริหารองค์กรและโครงสร้างของการบริหารให้คล่องตัวขึ้น อันจะเป็นแนวทางให้สามารถพัฒนาองค์กรได้ ประเด็นปัญหาข้อที่ 3 พบว่าผู้ตอบแบบสอบถาม ร้อยละ 42.0 มีความเห็นว่าควรส่งเสริมให้วิศวกรมีจิตสำนึกทางศีลธรรมอย่างจริงจัง และร้อยละ 34.0 มีความเห็นว่าสภาวิศวกรควรกำหนดให้วิศวกรประกอบวิชาชีพเฉพาะด้านที่ตนเองชำนาญจะเหมาะสมกว่าวิธีการลงโทษ
        โดยภาพรวมวิศวกรแสดงความคิดเห็นต่อพระราชบัญญัติวิศวกร พ.ศ. 2542 ว่าเป็นส่วนหนึ่งที่สามารถพัฒนาคุณภาพวิศวกรและยกระดับมาตรฐานวิศวกรโยธาได้ โดยร้อยละ 24.4 ให้ความเชื่อมั่นมาก และร้อยละ 61.9 ให้ความเชื่อมั่นระดับปานกลาง

ATTITUDES OF CIVIL ENGINEERS ON ACT LEGISLATION ENGINEERING

Abstract

        The purposes of this project are to study the structure of the "Council of Engineers 1999" and compare with the "Bill of Engineering Profession 1962" and to survey the attitudes of civil engineers on this new Act Legislation Engineering. The questionnaires of 3 target groups had been made, i.e., students, lecturers, and practicing civil engineers responsibilities of the "Council of Engineers" were inquired. These are the attitudes on the standard of the present educational system in civil engineering, working efficiency of the Council and the working license of engineers respectively.
        Results of the study reveal that structure of the "Council of Engineers" has more freedom and more flexibility in comparison with the previous bill. Samples of 75.2% wish the Council to take more action about the present standard of civil engineering education in the institutions. As well as 42% of samples wish the Council to emphasize on the ethics profession and 34% points that the Council should provide more specific subjects for practicing engineers.
        At the end of the survey study, the samples of 24.4% have high level of confidence that the Act Legislation Engineering 1999 is a part to improve the standard of civil engineers in the future and 61.9% has medium level of confidence.

Top (2542)...